หนนี้เฉิงเสี่ยวเฟิ่งนิ่งคิดก่อนถึงตอบ “สนิทกันจริงๆ เมื่อก่อนพวกเขาจะไปลานขี่ม้าและล่าสัตว์ด้วยกัน หรือไม่ก็จัดงานเลี้ยงสุราเสมอๆ เพิ่งหลายปีมานี้ที่เริ่มห่างเหินกันไป”
อี๋อวี้พลันประจักษ์ว่าตนรู้อดีตของหลี่ไท่ไม่มากนัก นางมักรู้สึกว่าเขาเป็นคนรักสันโดษไม่ชอบสุงสิงกับใคร แต่ก็พอรู้เลาๆ ว่าเขาเคยผูกไมตรีกับพวกจ่างซุนเสียนไม่น้อย อีกอย่างฝีมือหมากล้อมอันลึกล้ำของจ่างซุนซี มิใช่เป็นหลี่ไท่สอนให้หรอกหรือ พินิจจากอุปนิสัยของเขา ถ้าไม่มีเหตุผลจริงๆ มีหรือที่เขาจะอดทนอดกลั้นสอนเด็กสาวผู้หนึ่งเดินหมากในช่วงเวลาหนึ่ง นอกจากนางหลูอี๋อวี้แล้ว ยังมีจ่างซุนซีอีกคน
ในสายตาของนาง จ่างซุนซีเป็นฝ่ายที่สรรหาทุกวิธีตามเกาะแกะ แต่ในสายตาของจ่างซุนซี นางน่าจะเป็นฝ่ายทำลายความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่
เฉิงเสี่ยวเฟิ่งเห็นอี๋อวี้ยิ้มเยาะตนเองแล้วชักรู้สึกไม่เข้าที นางครุ่นคิดนานขึ้นก็กระจ่างแจ้ง เอื้อมมือโอบไหล่อีกฝ่าย ก่อนจะกล่าวเป็นเชิงถาม “เจ้าคงจะมิได้หึงหวงแล้วกระมัง”
“อื้อ” อี๋อวี้ทำเสียงตอบในลำคอโดยมิได้ปฏิเสธ อึดใจต่อมาก็ได้ยินนางพูดกลั้วเสียงหัวเราะดังกังวาน
“ข้าเดาไม่ผิด จ่างซุนซีคนนั้นชอบตามหลังหลี่ไท่ต้อยๆ มาตั้งนานแล้ว ไม่ต่างจากสุนัขตามก้นตัวหนึ่งโดยแท้ แค่ก…นี่มิใช่ข้าพูดเองนะ คนช่างสังเกตล้วนมองออกกันทั้งนั้น ยามนั้นทุกคนอายุยังน้อย ทั้งเป็นญาติผูกดองกันผ่านทางฮองเฮา และมีพวกเกาหยางเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เลยไม่มีคนถือสาจุดนี้ ต่อมาพอเจริญวัยกันแล้วถึงสำรวมระวังตัวขึ้นมาก หลังพวกเจ้าจากเมืองหลวงไปสองปีกลับมา ข้าเห็นนางตอนนี้แก้นิสัยเก่านี้แล้ว วางตัวสุภาพมีมารยาทกับเว่ยอ๋องมาก ไฉนเจ้ายังฟื้นฝอยหาตะเข็บอีกเล่า ฮ่าๆ”
สุภาพมีมารยาท?
นั่นมันต่อหน้าผู้คน เวลาปลอดคนก็เรียก ‘พี่สี่ๆ’ อย่างมีนัยลึกซึ้งได้มากเท่าไรก็มากเท่านั้น หลี่ไท่เบาปัญญาจนมองไม่ออกกระนั้นหรือ ถึงเขาคร้านจะสนใจ ก็ปล่อยให้คนเข้าใจผิดแบบนี้ไม่ได้กระมัง
“อย่าคิดมากเลย” เฉิงเสี่ยวเฟิ่งหยุดหัวเราะ กล่าวปลอบใจ “เจ้ากลัวนางแย่งชิงกับเจ้าหรือไร ดีชั่วนางเป็นถึงบุตรีภรรยาเอกของสกุลจ่างซุน เว้นแต่เว่ยอ๋องไม่แต่งเจ้าเป็นชายาเอก หาไม่แล้วเป็นไปได้อย่างไรที่นางจะเป็นอนุของใคร”
อี๋อวี้ถอนใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง นางเบือนหน้ามองเฉิงเสี่ยวเฟิ่ง เอ่ยอย่างจริงจัง “นั่นสิ ข้าจะกลัวทำไมนะ”
กระทั่งเฉิงเสี่ยวเฟิ่งยังเข้าใจเหตุผลนี้ ไม่มีทางที่จ่างซุนซีจะไม่เข้าใจ แล้วนางพุ่งเป้าไปที่หลี่ไท่แบบนั้นมุ่งหวังอะไรเล่า
“ก่อนแต่งงาน สตรีล้วนคิดมากกันอย่างนี้ทั้งสิ้น” เฉิงเสี่ยวเฟิ่งคิดคำนึงแล้วยีหัวนาง “ก่อนหยาถิงออกเรือนมักมาคุยอะไรต่อมิอะไรกับข้า ไม่รู้ว่านางพูดบ่นอะไรอยู่ ไม่เป็นเรื่องเป็นราว เจ้าดีกว่านางมากแล้ว”
“คิกๆ หากเป็นตามท่านว่า ข้ายังดีกว่าหรือนี่” อี๋อวี้เออออตามเฉิงเสี่ยวเฟิ่ง เมื่อสัมผัสถึงไออุ่นที่ถ่ายทอดมาจากกายนาง ความอึดอัดคับในอกอาจไม่ลดน้อยลง แต่ใจกลับเยือกเย็นลง สามารถขบคิดให้ดีๆ ว่าสมควรจัดการเรื่องนี้เช่นไรดี