การประชันศาสตร์เขียนอักษรผัดเวลามาเป็นตอนบ่าย กลางลานกว้างจัดที่นั่งไว้ห้าสิบที่นั่งเต็มพื้นที่ดังเคย อี๋อวี้เจตนามาช้าเพื่อหลบเลี่ยงการประจันหน้ากับหลี่ไท่ นางย่างเท้าเข้าหอจวินจื่อพร้อมเสียงตีระฆัง มองหาโต๊ะที่ว่างอยู่แล้วนั่งลงก้มหน้าก้มตาตรวจดูกระดาษกับพู่กันโดยไม่เหลียวซ้ายแลขวา และไม่เงยหน้ามองชั้นบนเลย
หลี่ไท่ยืนมองลงมาจากชั้นสอง เห็นอี๋อวี้เข้าสู่สนามแล้วถึงกลับไปนั่ง ประจวบเหมาะกับมีศิษย์สำนักซื่อเหมินเสวียคนหนึ่งตั้งใจจะถอนชื่อจากการแข่งขันกับอาจารย์ประจำสำนักตน เห็นท่านอ๋องเดินมาก็ตะกุกตะกักเป็นนานครู่ใหญ่กว่าจะพูดจากันรู้เรื่อง
เหยียนเหิงถลึงตาใส่เขาซ้ำๆ อย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนยกพู่กันขีดฆ่าชื่อเขาออก ลูกศิษย์ผู้นี้ถึงออกไปอย่างพินอบพิเทา
หลี่ไท่ชายตาเห็นเหตุการณ์นี้แล้วหันศีรษะไปอ้าปากพูดกับฉาจี้เหวินที่กระเซ้าเหยียนเหิงอยู่
“ตัดชื่อของจ่างซุนซีออกเถอะ นางก็ไม่มาเหมือนกัน”
ครานี้เหล่าผู้ตัดสินตะลึงงันไปตามๆ กัน หลังมองหน้ากันไปมาแล้วยังคงเป็นฉาจี้เหวินส่งเสียงเอะอะก่อนใคร “ฉะ…ไฉนนางไม่มาพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่สบาย”
“ไม่สบาย ป่วยเป็นอะไร จู่ๆ ก็ไม่สบายหรือพ่ะย่ะค่ะ” ฉาจี้เหวินยังโวยวายต่อ เลยถูกจิ้นฉี่เต๋อสะกิดเตือน ครั้นเหลือบเห็นหลี่ไท่ทำหน้าปึ่งชาก็รู้ตัวว่าเสียกิริยา เขากระแอมไอสองเสียงอย่างกระดากๆ แล้วนั่งลงดังเดิม
ข้างฝ่ายอวี๋ซื่อหนานที่เพิ่งรับศิษย์คนใหม่ดูสงบนิ่งกว่าฉาป๋อซื่อของสำนักไท่เสวียเป็นอันมากอย่างเห็นได้ชัด ชายชราซึ่งดวงตาฝ้าฟางแล้วชำเลืองมองหลี่ไท่ปราดหนึ่งก่อนก้มหน้าดื่มชาต่อ ไม่เอื้อนเอ่ยแม้สักครึ่งคำ ขณะที่คนอื่นๆ ต่างคนต่างคิดคำนึงในใจ…จ่างซุนซีล้มป่วย ไฉนเป็นเว่ยอ๋องช่วยถอนชื่อแทน
คิดถึงจุดนี้ ตรงที่นั่งผู้ตัดสินยิ่งเงียบเชียบขึ้น ฉาจี้เหวินขีดฆ่าชื่อจ่างซุนซีออกอย่างคับข้องเจ็บใจ เมื่อนึกไปถึงอี๋อวี้ที่นั่งอยู่เบื้องล่าง เขาก็หมายจะพูดเหน็บแนมจิ้นฉี่เต๋อสักสองคำ แต่รู้ว่าบรรยากาศชอบกล จะเอ่ยปากก็ไม่ถนัดจึงจำต้องล้มเลิกความตั้งใจไป
การประชันศาสตร์เขียนอักษรวันนี้ใช้วิธีแปลกใหม่ ไม่มีม้วนผ้ายักษ์สีขาวแสดงหัวข้อ กลับแจกม้วนกระดาษให้ศิษย์ทุกคนหนึ่งแผ่น บนนั้นเป็นลายมือหกแบบซึ่งตัดจากผลงานฉบับพิมพ์ของยอดนักเขียนพู่กันในอดีตต่างๆ มาท่อนหนึ่งโดยไม่ระบุชื่อเสียงเรียงนามไว้ เพื่อให้ลูกศิษย์ที่ลงแข่งบ่งบอกชื่อของท่านเหล่านี้ แล้วค่อยเขียนเติมเนื้อความท่อนนั้นให้สมบูรณ์ จุดสำคัญของการประชันนี้คือความเข้าใจในศาสตร์เขียนอักษรอย่างกว้างขวาง
คนส่วนหนึ่งทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ด้านอี๋อวี้ตวัดตามองม้วนกระดาษแวบเดียวก็ก้มหน้าเขียนคำตอบ วันนี้นางเคราะห์ร้าย ตอนเช้าหัวไหล่กระแทกกับประตู เวลาเขียนหนังสือจะปวดเมื่อยเป็นพิเศษ ทว่านางยังจับพู่กันอย่างมั่นคงและเหยียดแผ่นหลังตรง มองเห็นความผิดปกติออกสักเศษเสี้ยวที่ไหนกัน
นางมีข้อดีเช่นนี้นี่เอง ไม่ว่าชั่วขณะก่อนหน้ามีเรื่องค้างคาอยู่ในหัวมากเท่าไร ทว่าทันทีที่เริ่มลงมือทำงานอย่างจริงจังก็จะทุ่มเทจิตใจลงไปทั้งหมดโดยไม่รามือจนกว่าจะสำเร็จ อาจมีคนมากมายฉลาดกว่านาง แต่คนที่จะทำงานอย่างเอาจริงเอาจังกว่านาง ในแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาลนี้หาได้ยากยิ่งดุจขนหงส์เขากิเลน
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็มีคนลุกขึ้นส่งกระดาษคำตอบ คนที่ยังทำไม่เสร็จย่อมร้อนรนอย่างช่วยไม่ได้ อี๋อวี้นั้นนอกจากเงยหัวขึ้นผ่อนคลายสายตาสองครั้งแล้วแทบไม่เคยหยุดพู่กันจวบจนเขียนเต็มหน้ากระดาษสี่แผ่น ตรวจทานซ้ำรอบหนึ่งก่อนประทับตราประจำตัวศิษย์ทีละแผ่นแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก นางหลับตาพักผ่อนครู่หนึ่งระหว่างรอหมึกแห้ง