สิ้นเสียงนางไม่ทันไร ทุกคนเห็นอี๋อวี้ใช้นิ้วสองนิ้วคีบกระดาษขาวที่เขียนอักษรด้วยน้ำแผ่นนั้นยื่นไปตรงหน้าฉู่เสี่ยวซือ นางโคลงศีรษะ กล่าววาจาแฝงนัยลึกล้ำ
“เมื่อใดที่คุณหนูฉู่ทำได้ถึงขั้นนี้ ค่อยมาตัดสินตัวอักษรของผู้อื่นเถอะ”
ฉู่เสี่ยวซือรับกระดาษขาวแผ่นนั้นไว้อย่างอิดเอื้อน นางเห็นว่ารอยคราบน้ำสีเทาเป็นอักษรสามตัวนั้นนอกจากสวยงามอยู่บ้างแล้วปราศจากจุดพิเศษอื่นจริงๆ กระนั้นดีชั่วนางก็อยู่สำนักซูเสวียมานานสามปีกลับดูอะไรไม่ออก ครั้นจะเอ่ยปากถามคงไม่เป็นการดี นางได้แต่ล้มเลิกความคิด พูดตอบอี๋อวี้สองคำแล้วถือกระดาษกลับที่นั่ง
ทุกคนเห็นว่าเรื่องสนุกจบแล้วต่างแยกย้ายกันไปเอง เด็กสาวหลายคนที่คุ้นเคยกับจิ้นลู่อันเข้ามาห้อมล้อมอี๋อวี้ไว้อย่างว่องไว ตอนแรกพวกนางยังเคอะๆ เขินๆ อยู่สักหน่อย จวบจนพบว่านางเป็นคนอัธยาศัยดีก็พากันพูดคุยกันจ้อกแจ้กไม่หยุดปาก อี๋อวี้ทำความรู้จักไปทีละคน ถึงรู้ว่าเด็กสาวเหล่านี้มิได้อยู่สำนักเดียวกัน ซ้ำเป็นศิษย์ที่เข้ามาใหม่เมื่อปีกลาย
จิ้นลู่อันถูกสหายเบียดออกไปด้านข้างก็ไม่โมโหโกรธา นางยิ้มหน้าบาน เหลียวไปมองฉู่เสี่ยวซือที่ยังดูกระดาษที่ถือในมือแล้วแสดงสีหน้าดูแคลน
กระดาษทำด้วยกรรมวิธีพิเศษของสำนักศึกษาหลวง มิใช่ว่าใครคนใดก็สามารถใช้น้ำเปล่าเขียนแล้วตัวอักษรไม่เลอะเลือน ผู้ที่ทำได้สบายๆ จะต้องลงน้ำหนักได้ช่ำชองและแม่นยำสักเพียงไหน อย่าว่าแต่ฉู่เสี่ยวซือเลย ต่อให้เป็นคุณหนูจ่างซุนซีผู้นั้น ณ ขณะนี้ก็ใช่ว่าจะทำได้เสมอไป
“ผลการประชันศาสตร์เขียนอักษร ผู้ได้ที่หนึ่ง…สำนักซูเสวีย หลูอี๋อวี้”
“เฮ! ชนะแล้วๆ สำนักเราชนะแล้ว”
“ฮ่าๆ มีป้ายไม้สลักป้ายหนึ่งก็ไม่ต้องรั้งท้ายแล้ว…”
ยามได้ยินตงฟางโย่วยืนประกาศผลอยู่ชั้นบน อี๋อวี้พูดได้โดยไม่กระดากปากว่านางไม่ประหลาดใจสักกระผีก มิใช่เพราะทะนงตนจนไม่เห็นผู้ใดในสายตา หากแต่เทียบกับลูกศิษย์กลุ่มนี้แล้ว การเข้าถึงแก่นแห่งศาสตร์การเขียนอักษรของนางล้ำหน้าไปไกลหลายขุมจึงไม่มีอะไรน่าแข่งขันกัน กลับรู้สึกคล้ายผู้ใหญ่รังแกเด็กเสียด้วยซ้ำ
ด้วยเหตุนี้ในใจอี๋อวี้ซึ่งเดินไปทางเรือนเหมยท่ามกลางเสียงโห่ร้องดีใจอื้ออึงของศิษย์สำนักซูเสวียนั้นหาได้ยินดีเท่าใดนัก ใบหน้าก็ปราศจากรอยยิ้ม เพราะว่ามีคนสองคนตรงที่นั่งผู้ตัดสินที่นางไม่อยากเผชิญหน้าตอนนี้ คนหนึ่งคือหลี่ไท่อย่างไร้ข้อกังขา ส่วนอีกคนคือตงฟางโย่ว
ตงฟางหมิงจูตายไปแล้ว เมื่อแรกได้ยินข่าวนี้จากปากเหยาอีตี๋ นางเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ถึงขั้นมองมันเป็นเรื่องล้อเล่นด้วยเจตนาร้าย แต่หลังได้รับการยืนยัน นางยังรู้สึกลึกๆ ว่ามันมิใช่ความจริง นับดูแล้วนางกับตงฟางหมิงจูเคยพบกับแค่สองสามครั้ง ในฐานะสตรีที่เกือบต้องมีสามีคนเดียวกัน เดิมทีอี๋อวี้สมควรจดจำอีกฝ่ายได้ฝังใจ แต่ในความเป็นจริงนางกลับจำแม้แต่รูปร่างหน้าตาของตงฟางหมิงจูไม่ได้แล้ว