บทที่ 8
หานลี่พาหลูซื่อกับบุตรสาวออกจากสวนผูเจินไปที่ใดก็สุดรู้ พอหลี่ไท่รู้เรื่องจากปากผิงถงก็ส่งกำลังคนเริ่มต้นออกตามหาไปทั่วอย่างลับๆ แต่ไม่ได้ข่าวคราวใดเลย ราวกับว่าสองแม่ลูกสกุลหลูนั่งรถม้าไปจากตำบลหลงเฉวียนวันนั้นแล้วหายวับไปในอากาศก็ไม่ปาน แม้หลี่ไท่ยังส่งนักแกะรอยมือฉมังไปเสาะหาไม่หยุดก็ไม่พบร่องรอยใดสักกระผีกอยู่ดี
ไม่อาจไม่พูดว่ามีคนร้อยเล่ห์พันเหลี่ยมอย่างหานลี่อยู่ หากไม่ต้องการให้คนหาตัวเจอจริงๆ ต่อให้เป็นหลี่ไท่ก็สุดปัญญาไปชั่วขณะ
เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น หลี่ไท่หัวเสียปานใดมิจำเป็นต้องพูดให้มากความ สองวันสุดท้ายของการประชันศาสตร์ห้าสำนัก ตกบ่ายเขายังคงไปสำนักอักษรดุจเก่า แต่เหล่าผู้ร่วมแต่งตำราในหอตำราคนใดบ้างมองไม่ออกว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องผิดปกติ ใบหน้าหล่อเหลาที่แต่เดิมก็เฉยเมยไร้อารมณ์เหลือแสนอยู่แล้ว พอบึ้งตึงไปก็ยิ่งน่ากลัว คนขี้ขลาดล้วนไม่กล้าเข้าใกล้ด้วยกลัวจะโดนลงดาบ
“ทะ…ท่านอ๋อง” ฉีเจิ้งถือม้วนบันทึกเล่มหนึ่งด้วยสองมือแข็งใจยื่นส่งให้ “ส่วนของมณฑลเฮ่อโจวบทนี้เขียนผิดไปจากความเป็นจริงอยู่บ้างใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจำได้ว่าใน ‘ประมวลกิจสำคัญ’ เล่มหนึ่ง บอกว่า…”
ดวงตาสีมรกตคู่นั้นมองมา แววตาที่ยากจะแยกแยะอารมณ์ที่แท้จริงนั่นแอบแฝงประกายน่าพรั่นพรึง ประหนึ่งว่าขืนพูดต่ออีกคำเดียว เขาก็จะเอาดาบแทงร่างอีกฝ่ายเป็นแผลรอยหนึ่ง ทั้งสองสบตากันชั่วหนึ่งลมหายใจ ฉีเจิ้งก็หดมือกลับ กลืนคำถามในปากกลับลงไปอย่างยากเย็น เขาทำหน้าสลดลุกขึ้นเดินลงไปชั้นล่างค้นตำราเอง ขณะเดินถึงหัวบันไดยังลอบก่นด่าตนเองว่าไม่เอาไหน ปกติถ้อยคำเดียวก็ขอคำตอบจากหลี่ไท่ได้แต่เขากลับใจเสาะเสียได้ ทีนี้จะทำอย่างไรดี ในหอตำราใหญ่นี้มีหนังสือเป็นหมื่นเล่ม เขาจะหาเล่มนั้นเจอเมื่อใดเล่า
ฉีเจิ้งบ่นไปลงบันไดไปก็ชายตาเห็นเงาสีแดงสายหนึ่งวิ่งมา เขาไม่ทันอ้าปากเรียกไว้ คนผู้นั้นก็สวนผ่านข้างตัวเขาขึ้นไปชั้นบนอย่างเร่งร้อน คล้ายมองไม่เห็นตัวเขาสักนิดกระนั้น
“คุณหนูสกุลเฉิงผู้นี้กระโดกกระเดกไม่เรียบร้อยเอาเสียเลย” เขาลูบจมูกอย่างเก้อกระดาก ครั้นคิดขึ้นได้ว่าเฉิงเสี่ยวเฟิ่งเพิ่งมาก่อกวนเมื่อวานซืน ก็ใจกล้าขึ้นฉับพลัน เขากลอกตาทีหนึ่ง ก้มตัวต่ำเกาะราวบันไดลอบกลับขึ้นไป ก่อนจะหยุดยืนตอนใกล้จะถึงห้องใต้เพดานแล้วเงี่ยหูฟัง
“ไม่ทราบว่าท่านอ๋องรู้หรือไม่ว่าเสี่ยวอวี้ไม่อยู่ในตำบลหลงเฉวียน เพราะหลายวันก่อนอาการป่วยทรุดหนักเลยถูกส่งตัวไปที่อื่น” เฉิงเสี่ยวเฟิ่งกำหมัด ดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยโทสะ นางเป็นคน ‘กล้า’ มาแต่กำเนิด จึงไม่รู้สึกรู้สาว่าท่าทางตอนนี้ของหลี่ไท่น่ากลัวขนาดไหน
อี๋อวี้ถอนตัวกลางคัน นางก็ไม่ไปชมการแข่งขันที่สำนักศึกษาหลวงอีก วันก่อนเฉิงฮูหยินได้แพรพรรณเนื้อดีมาสองพับ บอกให้นางเอาไปให้ นางก็รีบแล่นไปสวนผูเจินหาเพื่อนเล่น ผลลัพธ์เป็นอย่างไรไม่ต้องพูดถึง คนไม่ได้พบ พวกบ่าวยังไม่ยอมบอกอะไรแม้แต่ครึ่งคำ นางเลยไปหาหลี่ไท่ที่สำนักอักษร แต่หลี่ไท่มีนิสัยเช่นใด มีหรือจะพูดกับนางยืดยาว เพียงบอกคำเดียวว่า ‘ไม่รู้’ เป็นการไล่แขก