เฉิงเสี่ยวเฟิ่งรออีกสองวันถึงค่อยไปหาที่สวนผูเจินอีกครั้ง อวี๋ทงซึ่งถูกขังอยู่ในวังอ๋องก่อนหน้านี้ถูกปล่อยตัวกลับมาแล้วเล่าเรื่องให้ฟังอย่างละเอียดลออรอบหนึ่ง เมื่อเทียบเวลาดูแล้วคิดได้ว่านางป่วยตอนกลับไปหลังฝนตกหนักวันนั้นนั่นเอง ยังตรึกตรองสิ่งที่นางพูดกับตนทั้งก่อนและหลัง จึงได้วิ่งโร่มาไล่เลียงเอาผิดกับหลี่ไท่โดยไม่คำนึงถึงอะไรทั้งนั้น
“รู้แล้วมีอันใด” หลี่ไท่จ้องมองนางแวบเดียวก็ก้มหน้าขีดๆ เขียนๆ บนกระดาษ หากมีคนดูอยู่ด้านข้าง จะเห็นชัดเจนว่าต้นร่างดีๆ เล่มหนึ่งโดนเขาเอาหมึกป้ายเละเทะจนไม่เหลือสภาพเดิม กระนั้นท่าทางภายนอกของเขาในสายตาหญิงสาวเป็นความไม่สนใจไยดีโดยสิ้นเชิง มันไม่ต่างจากสาดน้ำใส่หน้านาง
“ท่าน…ท่าน…” เฉิงเสี่ยวเฟิ่งข่มใจจนหน้าแดง สองปีที่แล้วนางเคยประสบผ่านเหตุการณ์เช่นนี้มาหนหนึ่ง หลูจื้อตาย อี๋อวี้หายสาบสูญ ไม่มีใครล่วงรู้ว่าช่วงเวลานั้นนางเที่ยวออกตามหาคนอย่างบ้าคลั่ง หวาดหวั่นสุดใจว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดกับอี๋อวี้ นางดีต่ออี๋อวี้ด้วยน้ำใสใจจริง ไม่ลำพังเพราะพวกนางเป็นสหายรู้ใจ ยังเพราะอี๋อวี้เป็นที่ปลอบประโลมใจเพียงหนึ่งเดียวของนางหลังจากหลูจื้อจบชีวิต ตราบใดที่อี๋อวี้ยังอยู่ นางก็รู้สึกอยู่เสมอว่าเขายังไม่จากไปไหน น้องสาวคนเล็กที่เขารักใคร่เอ็นดูที่สุดยังอยู่บนโลกนี้ เขาจะตายไปโดยที่แปดเปื้อนมีมลทินเช่นนั้นได้อย่างไร
“ล้วนเป็นเพราะท่านคนเดียว! เช้าวันนั้นข้าก็รู้สึกว่านางแปลกไป ฝนตกหนักขนาดนั้น ทั้งที่นางบอกว่าตอนบ่ายข้าไม่ต้องไปสำนักศึกษาแล้ว แต่ตอนเที่ยงจู่ๆ ก็มาหาข้าด้วยเนื้อตัวเปียกปอน ตรงหัวไหล่บวมช้ำเป็นปื้นใหญ่ ทั้งยังใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พูดจาชอบกลๆ ท่านว่ามา ท่านรังแกนางใช่หรือไม่”
ปลายพู่กันกดลงบนกระดาษหนักๆ หลี่ไท่เงยหน้าขึ้นอีกครา นัยน์ตาสีเขียวขุ่นๆ มองกวาดไป ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเนิบ “นางพูดว่าอะไร”
“นางง่วงงุนหลับไปตื่นหนึ่ง พอตื่นขึ้นอยู่ดีๆ ก็เริ่มถามข้าเกี่ยวกับท่านบ้าง อู๋อ๋องบ้าง แล้วก็เรื่องของพวกท่านกับสองพี่น้องสกุลจ่างซุน ถามว่าเมื่อก่อนพวกท่านมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากใช่หรือไม่…” เฉิงเสี่ยวเฟิ่งพูดไปๆ แล้วชะงักนิ่ง จากนั้นนางก็ตบหน้าผากอย่างขุ่นเคืองตนเอง “ข้าก็ช่างกระไร รู้ทั้งรู้ว่านางชอบคิดมาก เหตุใดต้องตอบนางด้วย ยังพูดเรื่องท่านกับจ่างซุนซี ทีนี้จะทำอย่างไร นางคงโมโหจนไม่สบายเพราะอย่างนี้เป็นแน่ เป็นความผิดของข้าเอง เป็นข้าไม่ดี…ไม่สิ ไม่ถูก ล้วนเป็นความผิดของท่านต่างหาก”
นางเพิ่งตีตนเองไปสองทีก็ทำคอแข็ง ถามซักไซ้ชายหนุ่ม “ท่านบอกมา เช้าวันนั้นท่านรังแกนางใช่ไหม ใช่หรือไม่ว่าพูดอะไรกับนาง ใช่หรือไม่…ใช่หรือไม่ว่าให้นางเห็นอะไรที่ทำให้ไม่พอใจ”
ไม่อาจไม่พูดว่าคนตรงไปตรงมาก็มีข้อดีของตนเอง สุ่มเดาไปทีละเรื่อง อย่างไรก็ต้องบังเอิญเดาถูกสักเรื่อง ลำพังดูจากหลี่ไท่เม้มปากไม่กล่าวตอบ เฉิงเสี่ยวเฟิ่งก็ปักใจว่าเขาต้องทำเรื่องบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับจ่างซุนซีและเป็นต้นเหตุให้อี๋อวี้เสียใจ เมื่อย้อนนึกถึงวันนั้นที่เห็นหัวไหล่บวมแดงของอี๋อวี้ตอนผลัดอาภรณ์ นางก็โกรธจนหน้ามืด กำหมัดสืบเท้าสองก้าวปรี่เข้าไปอย่างกระฟัดกระเฟียด โน้มตัวพูดเสียงต่ำๆ ด้วยความคับแค้น
“ตกลงท่านรู้หรือไม่ว่าเสี่ยวอวี้กับสกุลจ่างซุนมีเรื่องอะไรกันอยู่ อาจื้อ…อาจื้อก็ถูกพวกคนตระกูลนั้นให้ร้ายจนตาย พอเจ้าลูกเต่าจ่างซุนฮ่วนตาย จ่างซุนเสียนแทบจะกินเลือดกินเนื้อเสี่ยวอวี้ ตามราวีอย่างเอาเป็นเอาตายทั้งโจ่งแจ้งและลับหลัง ท่านไม่ปกป้องนางก็ช่างเถิด เพราะอะไรยังจะสร้างความเสียใจให้นางอีก ท่านไม่เป็นห่วงนางเลยสักนิดใช่หรือไม่ กระทั่งนางคิดอะไรกลัวอะไร ท่านล้วนไม่ล่วงรู้กระมัง!”