ฉีเจิ้งถือม้วนบันทึกสีขาวเล่มหนึ่งในมือ เขาเข้าไปดึงตัวเฉิงเสี่ยวเฟิ่งไว้โดยไม่เปิดช่องให้คัดค้าน แต่นางดิ้นขัดขืน เขาฝืนต้านทานสายตาเย็นเยียบของหลี่ไท่ ฉุดลากหญิงสาวก้าวพรวดๆ ลงบันไดจนถึงชั้นสองค่อยหยุดฝีเท้า
“ปล่อย…ปล่อยข้านะ เจ้าจะทำอะไร ข้ายังพูดไม่จบ” เฉิงเสี่ยวเฟิ่งผลักฉีเจิ้งออกแล้วจะขึ้นไปข้างบนอีก
“นี่ๆ…” ฉีเจิ้งลุกลนดึงนางไว้ เขากล่าวหน้าละห้อย “ยังจะพูดอะไรเล่า ไม่เห็นพระองค์ชักสีพระพักตร์แล้วหรือ ยังจะกล้าพูดอีก คุณหนูเฉิงขอรับ ต่อให้ท่านใจกล้าปานใด แต่มองไม่ออกหรือว่าท่านอ๋องจวนกริ้วเต็มทีแล้ว”
“กริ้ว? เขามีสิทธิ์โกรธเคืองด้วยหรือ อี๋อวี้ล้มป่วยไปเพราะโมโหเขา หายตัวไปก็เพราะเขา เขา…อุบๆๆ…”
ไหนเลยฉีเจิ้งจะให้นางกล่าวสืบไป เขาหวาดหวั่นแต่ว่าถ้าหลี่ไท่อยู่ข้างบนได้ยินแม้เศษเสี้ยว ประเดี๋ยวตนเองจะพลอยเคราะห์ร้ายไปด้วย เขายกมืออุดปากเฉิงเสี่ยวเฟิ่งก็ถูกนางตีศอกเข้ากลางอก เจ็บจนหน้าเหยเกก็ไม่คลายมือ กลับใช้อีกมือหนึ่งยึดข้อมือนางและกระชับแขนโอบกอดนางไว้
ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาพบว่านางหยุดเคลื่อนไหว ก้มหัวลงดู เห็นหญิงสาวที่เตี้ยกว่าเขาเพียงครึ่งศีรษะแหงนหน้าขึ้น ดวงตาเรียวยาวถลึงมองอย่างเหี้ยมเกรียม สองแก้มแดงซ่าน จอนผมรุ่ยร่ายเล็กน้อย เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพราย กลับเป็นลักษณาการของหญิงงามดุดันทรงเสน่ห์อย่างยิ่ง ชายหนุ่มมองจนตาลอย ใจเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะระลอกหนึ่ง เขากลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ สัมผัสนุ่มมือของผิวกายสตรีซึมซาบสู่สมอง มือที่โอบเอวนางไว้อดรัดแน่นขึ้นไม่ได้ กลิ่นหอมจากกายสาวกำจายเข้าโพรงจมูก เขายังไม่ทันได้ละเลียดลิ้มรสของมัน ความอ่อนนุ่มในฝ่ามือก็กลายเป็นความเจ็บปวด
“โอ๊ย!” ฉีเจิ้งปล่อยหญิงสาวในอ้อมอกทันที กุมมือที่ถูกกัดเต็มแรงคราหนึ่งผงะถอยก้าวหนึ่งไปชนกำแพง เขายังยืนทรงตัวไม่มั่น เท้าก็เจ็บแปลบตามมาด้วยเสียงร้องโอดโอยอีกเสียงก่อนก้มตัวลงกุมเท้าซ้าย
“ฮึ! เจ้าคนมากตัณหาสมควรตาย กระทั่งข้าก็ยังกล้าลวนลาม!” เฉิงเสี่ยวเฟิ่งจำไม่ได้เลยว่าบุรุษที่ปล่อยเนื้อปล่อยตัวหนวดเคราเขียวครึ้ม ทั้งยังทำสายตาเจ้าชู้คนนี้เป็นบัณฑิตประจำสำนักอักษร นางคว้าคอเสื้อเขาดึงกระชากตัวชายหนุ่มที่สูงใหญ่กว่าตนเองขึ้นมา ลากไปตรงมุมชั้นหนังสือเรียงราวเป็นแถวๆ ของชั้นสอง พูดเสียงต่ำลอดไรฟัน
“เจ้าเคราะห์ร้ายเองนะ ช่วยไม่ได้ วันนี้ข้าอารมณ์ไม่ดีถึงขีดสุด ใช้เจ้าเป็นที่ระบายอารมณ์ได้พอดี”
ครู่หนึ่งให้หลัง เหล่าบัณฑิตที่เร่งเขียนต้นร่างอยู่ชั้นล่างก็ได้ยินเสียงโครมครามลอยแว่วมาจากชั้นบน พวกเขามองหน้ากันไปมา ถึงมีใจอยากขึ้นไปดูว่าเกิดเรื่องใดขึ้น แต่คิดถึงเว่ยอ๋องหน้าดุซึ่งนั่งประจำการอยู่ในห้องใต้เพดานแล้ว แต่ละคนก็พากันล้มเลิกความคิดโฉดเขลานี้ในพริบตาแล้วต่างคนต่างทำงานของตนอย่างขะมักเขม้น
ติดตามตอนต่อไป…