หลูซื่อได้รับคำชมจากเขาทางอ้อมย่อมต้องดีใจ แต่ไร้ความสะเทิ้นอายเฉกสาวน้อย นางประคองบุตรสาวนั่งลงบนเก้าอี้ ชี้ที่หมากกระดานด้วยท่าทางปกติ “เป็นอย่างไร เดินหมากกันแต่เช้า ใครชนะหรือ”
“เล่นกันสนุกๆ ชนะฉิวเฉียดไปสองกระดานเท่านั้นเอง” บุรุษห่ามห้าวกล่าวตอบได้เต็มปากหน้าตาเฉย
หานลี่ผินหน้าดูสถานการณ์บนกระดานหมากที่เห็นผลแพ้ชนะได้อย่างง่ายดายปราดหนึ่ง ยามมองไปทางบุรุษห่ามห้ามอีกครา รอยยิ้มในหน้ากว้างยิ่งขึ้นอย่างขบขัน เขาหันไปเอ่ยกับอี๋อวี้ “ยังเวียนศีรษะหรือไม่”
“ดีขึ้นมากแล้ว แค่เนื้อตัวอ่อนเปลี้ยเพลียแรง” อี๋อวี้บอกเสียงอ่อนๆ มีแต่คนใกล้ชิดจึงฟังออกว่านี่เป็นน้ำเสียงเวลานางพูดกับคนกันเอง
นี่ก็ไม่น่าแปลกแต่อย่างใด ถ้าคราวนี้ไม่มีหานลี่สักคน นางอาจจับไข้สูงจนกลายเป็นคนปัญญาอ่อนจริงๆ หากยังไม่เห็นน้ำใจของเขา นางก็อยู่มาสองชาติอย่างเสียเปล่าแล้ว
อี๋อวี้ชายตามองบุรุษวัยกลางคนที่กุลีกุจอยกถ้วยน้ำชาส่งให้หลูซื่อแล้วลอบสะท้อนใจอย่างสุดระงับ ไม่ว่าอย่างไรนางก็คิดไม่ถึงว่าจะพบบุรุษซึ่งหายตัวไปเนิ่นนานผู้นี้อีกครั้งในสถานการณ์เช่นนี้… เหยาฮ่วง
มิใช่นางคนเดียวที่คิดไม่ถึง เกรงว่าทุกๆ คนที่ตามหาตัวเหยาฮ่วงเพื่อรักษาโรคและถอนพิษทั้งในอดีตและตอนนี้อย่างลำบากแสนเข็ญคงล้วนคิดไม่ถึงว่า ‘หมอเทวดาเหยาปู้จื้อ’ ผู้มีกิตติศัพท์ฉาวโฉ่คนนี้จะลงหลักปักฐานอยู่ในละแวกหมู่บ้านกลางเขาเล็กๆ ใกล้กับเมืองหลวง จำแลงแปลงกายเป็นพรานล่าสัตว์ท่าทางป่าเถื่อนหยาบกระด้างไปแล้ว ทั้งยังมีหนังสัตว์วางผึ่งบนชั้นวางนั่นที่ผ่านการชำแหละขัดล้างอย่างสมจริง
“เพิ่งหายป่วยหนักแรกๆ ร่างกายอ่อนแรงเป็นเรื่องปกติ” หานลี่เบือนหน้ามองเหยาฮ่วงที่เย้าหยอกหลูซื่อให้หัวเราะไม่หยุดก่อนกล่าว “วางใจได้ วิชาแพทย์ของท่านอาเหยาเจ้าล้ำเลิศ ไม่ปล่อยให้เจ้ามีอาการเรื้อรังเหลืออยู่สักน้อยนิดแน่นอน นี่พี่เหยา?”
“รักษาโรคช่วยชีวิตคนเป็นหน้าที่ของผู้เป็นหมอ เหนืออื่นใดข้ากับพวกนางแม่ลูกมีวาสนาต่อกันไม่น้อย พี่หานไม่จำเป็นต้องบอก ข้าก็ทำอยู่แล้ว”
“อย่างนั้นก็รบกวนด้วย”
“มิต้องเกรงใจ”
ใช่ว่าอี๋อวี้จะไม่สังเกตเห็นพวกเขาสองคนต่อสู้ฟาดฟันกันทั้งในที่ลับที่แจ้ง แต่นางมีข้อกังขาต่อเหยาฮ่วงอีกมากเหลือเกิน เช่นว่ากล่องไม้สีดำที่เขาทิ้งไว้ให้ในครั้งนั้น เช่นว่าเพราะเหตุใดต้องสอนวิชาปรุงพิษให้นาง แต่สองสามวันนี้นางไม่อาจขบคิดหนักเกินไป หาไม่แล้วจะเกิดอาการปวดหัวข้างเดียว นางได้แต่เอนพิงพนักเก้าอี้แหงนศีรษะมองท้องฟ้า ปล่อยสมองให้ว่างเปล่าดั่งท้องนภาใสสะอาดผืนนี้ สูดอากาศเย็นสบายบนเขาลูกนี้เฮือกหนึ่งจนเต็มปอด พาให้จิตใจปลอดโปร่งไปหมด นับแต่ออกจากเมืองผู่ซาหลัวกลับถึงเมืองหลวง นางรู้สึกผ่อนคลายแบบนี้เป็นหนแรก คลับคล้ายทุกสิ่งทุกอย่างที่สร้างความกลัดกลุ้มให้นางก่อนหน้าล้วนไม่คงอยู่
แน่นอนว่านี่เป็นเพียง ‘คลับคล้าย’ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่นางจะจดจำสาเหตุที่นางป่วยหนักครานี้ไม่ได้ ความร้อนดุจไฟแผดเผาตัวตลอดเวลาหนึ่งวันเต็มนั่นทำให้นางฟื้นขึ้นแล้วยังหวาดผวาไม่หาย ทว่าในเวลาอย่างนี้ คนผู้นั้นกลับไม่อยู่ข้างกาย แม้รู้ทั้งรู้ว่าเป็นการยากที่เขาจะค้นหาที่นี่พบ นางก็ยังคงซุกซ่อนความผิดหวังขมขื่นในใจไม่อยู่
“ปวดศีรษะอีกแล้วใช่หรือไม่” หลูซื่อเห็นนางขมวดคิ้วจึงเอ่ยขึ้นทันใด “หรือไม่กลับไปนอนบนเตียงดีกว่า เจ้าลูกคนนี้ ตื่นขึ้นมาก็ชอบคิดฟุ้งซ่าน ไม่กลัวจะกลายเป็นคนปัญญาอ่อนจริงๆ หรือไร”
เสียงหัวเราะแผ่วๆ ดังมาจากด้านข้าง อี๋อวี้เหลียวหน้าไปเห็นหญิงสาวนางหนึ่งโผล่จากห้องครัวเล็กๆ ทางทิศตะวันออก นางสวมกระโปรงผ้าลายทางแซมดอกไม้สีฟ้า ถือประคองชามกระเบื้องใบหนึ่งเดินมาหา ใบหน้างามหมดจดประดับรอยยิ้มบางๆ คนผู้นี้คือเหยาจื่อชี บุตรสาวโทนของเหยาฮ่วง
“ฮูหยินไม่ต้องเป็นห่วงเกินไป แม่นางหลูเอาแต่นอนอยู่บนเตียงก็ไม่เหมาะ ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกจึงจะหายป่วยได้เร็ว” เหยาจื่อชีหยุดยืนข้างๆ อี๋อวี้ หลูซื่อคิดจะรับชามยามา แต่เหยาฮ่วงโบกมือห้ามแล้วหยิบช้อนคนยาต้มในชามหลายที จากนั้นโน้มตัวมาจะป้อนนาง