การประชันศาสตร์ห้าสำนักดำเนินมาถึงวันสุดท้ายก็ตกอยู่ในสถานการณ์ตื่นเต้นดุเดือดเต็มที่ ป้ายไม้ในการแข่งขันศาสตร์แปดแขนงก่อนหน้า สำนักไท่เสวียคว้าไปสามป้าย สำนักซื่อเหมินเสวียสองป้าย สามสำนักที่เหลือได้ไปคนละป้าย เหลือป้ายสุดท้ายนี้อีกป้ายเดียว บรรดาลูกศิษย์ที่ลงแข่งย่อมหมายมั่นปั้นมือจะชิงมาให้ได้เป็นธรรมดา อย่าลืมว่าในการแข่งขันนี้มีคำกล่าวหนึ่งเป็นที่รับรู้กันเองว่าป้ายไม้ศาสตร์จารีตคือรางวัลใหญ่ที่สุดในศาสตร์ทั้งเก้า ตั้งแต่อดีตเป็นต้นมา ใครก็ตามเคยได้รับป้ายไม้ป้ายนี้ ไม่มีคนใดไม่อยู่ในเส้นทางการเป็นขุนนางได้อย่างราบรื่นเสมือนมัจฉาได้น้ำ
เพียงทว่าพอหัวข้อการประชันศาสตร์จารีตของวันนี้เผยออกมา ทำให้ลูกศิษย์ทุกคนตกตะลึงตาค้างไปตามๆ กันอย่างช่วยไม่ได้…
‘เสาะหาสุราเลิศรสกาหนึ่ง สุราชั้นดีทั้งไม่ซ้ำใครถือเป็นชั้นยอด’
ลูกศิษย์ทั้งกลุ่มเดินถือแผ่นกระดาษบอกหัวข้อออกไปอย่างงุนงง ตรงที่นั่งผู้ตัดสินเริ่มพูดถกกันจากสุรารสเลิศไปถึงอาหารชั้นดี สุดท้ายยังเอ่ยถึงสุราดีงูในงานเลี้ยงต้อนรับหลี่ไท่ที่โจษขานกันว่าช่วยบำรุงสายตา
อวี๋ซื่อหนานกับตงฟางโย่วล้วนไปร่วมงานวันนั้น พอเอ่ยถึงสุรานี้ พวกเขาต่างรำลึกรสชาติ และยืนยันในสรรพคุณดังกล่าวของมันท่ามกลางสายตากังขาของคนอื่นๆ ครานี้ฉาจี้เหวินนั่งไม่ติดแล้ว เขาโปรดปรานสุราเป็นที่หนึ่ง หัวข้อการประชันวันนี้ก็เป็นเขาเสนอขึ้นเป็นพิเศษ ตงฟางโย่วถึงพยักหน้าตกลงเห็นชอบโดยไม่ติติงว่าเป็นการอ้างงานบังหน้าเพื่อประโยชน์ส่วนตน
“น่าเสียดายๆ ไฉนวันนั้นข้าต้องปวดข้อเข่าจนไปไม่ไหวด้วยนะ น่าเสียดายสุราดีๆ นั่น ดูทีว่าพลาดจากหนนั้นไปคงหมดโอกาสลิ้มรสแล้ว”
ใครๆ ก็ฟังออกว่าเขาตั้งใจขอสุราจากหลี่ไท่แต่จะพูดตรงๆ ก็ไม่ดี หลายวันนี้หลี่ไท่ทำหน้าเคร่งเครียดตลอด เขานั่งอยู่ทั้งเช้ายอมกล่าววาจาสักคำก็นับว่ามากแล้ว เลยไม่มีคนช่วยพูดต่อความให้โดยไม่ดูตาม้าตาเรือ ด้านเหยียนเหิงยังปรายตามองฉาจี้เหวินพร้อมแค่นหัวเราะเสียงหนึ่ง กระนั้นยังคงเป็นจิ้นฉี่เต๋อเอ่ยปากขึ้นอย่างปรารถนาดี
“ได้ยินว่าพักก่อนหอขุยซิงขายไปแล้วสองไห ไม่รู้ว่ายังมีเหลืออีกหรือไม่”
“เอ๊ะ? จริงหรือ”
“ถึงมีแล้วเจ้าหักใจซื้อได้หรือ” เหยียนเหิงยกมือข้างหนึ่งชูนิ้วบอกราคา “ไหละหกร้อยตำลึงเงิน”
“แค่กๆ” ฉาจี้เหวินสำลักน้ำชาในปากจนพ่นเศษใบชาออกมา เขากลอกตาไปมา แม้จะฉงนใจว่าสุราในงานเลี้ยงเว่ยอ๋องมีขายในหอขุยซิงได้เช่นไร แต่เขารู้เช่นกันว่าคำนี้ถามออกจากปากไม่ได้ ทว่าเขาไม่พูด มิได้หมายถึงว่าจะไม่มีคนเอ่ยขึ้น
“การค้าของหอขุยซิงนับวันยิ่งใหญ่โต ขอแค่บอกชื่อได้ ดูเหมือนไม่มีอะไรที่คนกลุ่มนั้นหามาไม่ได้” อวี๋ซื่อหนานสูงวัยมากแล้ว พูดเสียงเนิบๆ นาบๆ แต่ไม่มีใครไม่ตั้งใจฟัง “คุยกันถึงเรื่องนี้ หลายวันก่อนข้าสั่งจองกระดาษจากตำบลปี้ซีสองชุดกับที่นั่น เมื่อวานไปรับของ ได้รับคำบอกกล่าวว่าคืนนี้มีงานประมูล หากทุกท่านสนใจลองไปดูก็ไม่เสียหาย ไม่แน่ว่าอาจได้ของดีๆ มาก็ได้”
คนยุคนี้นิยมบทกวี สุรา และหญิงงาม ถ้าไม่รู้จักสำเริงสำราญเสพความสุนทรีย์ กลับถูกมองเป็นคนชั้นต่ำ อีกทั้งหอขุยซิงมิใช่สถานเริงรมย์ชั้นสามัญ อวี๋ซื่อหนานออกปากพูดถึงจึงมิใช่เรื่องแปลกประหลาด แต่พวกเขาเหล่านี้จะมีกี่คนเล่ามีเงินทองเหลือเฟือไปหว่านเป็นเบี้ยที่นั่น ฟังเขาพูดแล้วได้แต่ยิ้มรับและเออออสองสามคำ
การแข่งขันจะสิ้นสุดตอนพลบค่ำเช่นเคย หลี่ไท่ไม่สนใจจะอยู่ที่นี่นานนัก นั่งอยู่ครึ่งเค่อก็อำลากลับไปสำนักอักษรรอคอยผู้อยู่ใต้อาณัติที่ส่งไปตามหาคนกลุ่มนั้นกลับมารายงาน ไหนเลยจะรู้ว่าพอเขาย้อนกลับไปยามหัวค่ำ ตอนเปิดเผยผลแพ้ชนะจะได้ยินเรื่องอย่างนี้
หลังจากออกไปเมื่อเช้า ลูกศิษย์อวดฉลาดกลุ่มหนึ่งตัดสินใจไปหอขุยซิง ครั้นได้ยินว่าตอนค่ำมีงานประมูล ถามไถ่ได้ความว่าหนึ่งในของประมูลเป็นสุราชั้นเลิศของซีอวี้ จนใจที่เถ้าแก่หอไม่อยู่ ผู้ดูแลไม่กล้าตอบตกลงขายให้พวกเขาล่วงหน้า ลูกศิษย์กลุ่มนั้นจึงรออยู่ที่นั่นถึงบ่ายแก่ คิดว่าจะทำให้เถ้าแก่หอเห็นแก่หน้าพวกตน ค่อยประมูลสู้ด้วยราคาสูง ไม่คาดว่าใกล้จะพลบค่ำยังไม่เห็นสุรา กลับมองเห็นคนล้อมวงมองชมภาพวาดสองภาพแขวนไว้ใต้แสงโคมสว่างไสวเด่นสะดุดตาในโถงใหญ่ประดับประดาอย่างหรูหรา