บทที่ 11 รักพี่เสียดายน้อง
กู้เจาตงที่ยังยืนอยู่นอกหน้าต่างประดักประเดิดกว่าน้องชายมากนัก พอได้ยินประโยคนั้นทุกคนก็พักการเอาเรื่องคุณชายสี่สกุลกู้ไว้ก่อน แล้วเบนสายตาไปมองคุณชายใหญ่อย่างพร้อมเพรียง
เหตุใดคนที่เพิ่งผ่านพิธีแต่งงานกับคุณหนูห้าและควรเข้าห้องหอในคืนนี้ถึงมาโผล่อยู่นอกหน้าต่างห้องนอนเสิ่นกุยเยี่ยนได้
เสิ่นฮูหยินหน้าตึงอย่างไม่สบอารมณ์ “คุณชายใหญ่สกุลกู้เข้ามาก่อนแล้วค่อยพูดกันเถิด”
กู้เจาตงฝืนยกมุมปากยิ้ม ก่อนจะปีนหน้าต่างเข้ามาด้านใน แล้วปัดฝุ่นตามตัว “หลาน…แค่มาดูเฉยๆ ขอรับ”
“มีอะไรต้องมาดูกัน” กู้เจาเป่ยยิ้มกริ่มพลางวางมือลงบนบ่าพี่ชาย “หรือพี่ใหญ่คิดว่าเจ้าสาวไม่งามพอ เลยมาดูเยี่ยนเอ๋อร์ที่นี่”
กู้เจาตงถูกจับได้คาหนังคาเขาเช่นนี้ ไม่ว่าจะพูดกลบเกลื่อนอย่างไรก็ไม่อาจรอดตัวไปได้ เขาตัวแข็งทื่อ มองอีกฝ่ายอย่างเคียดแค้น “แล้วน้องสี่เล่า มาที่นี่ด้วยเหตุใด”
เสิ่นกุยเยี่ยนที่อยู่บนเตียงเพิ่งได้สติจากการดูละครฉากสนุกอย่างใจจดใจจ่อ ยกมือปิดหน้าร่ำไห้ต่อก็ตอนนี้เอง
กู้เจาเป่ยเลิกคิ้วพลางปล่อยมือจากพี่ชาย แล้วเดินไปนั่งบนขอบเตียงของเสิ่นกุยเยี่ยน “ทุกท่านก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือ ทั้งรอยเลือดบนเตียงและเยี่ยนเอ๋อร์ที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ย ข้ายังจะมาทำอะไรได้อีกเล่า พี่ใหญ่ได้แต่งงานอยู่คนเดียว ข้าเห็นแล้วเปลี่ยวใจเป็นที่สุด เลยมาเข้าหอล่วงหน้าเป็นเพื่อนพี่ใหญ่บ้างน่ะสิ ไม่คิดเลยว่าพี่ใหญ่จะวิ่งมาที่นี่แล้วถูกข้าเข้าใจผิดว่าเป็นหัวขโมยไปเสียได้”
ระหว่างที่พูดอย่างนั้นเจ้าตัวมิได้หน้าแดงแม้แต่นิดเดียว ผิดกับผู้อื่นในห้องที่สีหน้าเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ประหนึ่งโคมม้าวิ่ง* ทั้งเขียว ขาว ดำ ม่วง เรียกได้ว่ามีครบทุกสี
โชคดีที่เสิ่นกุยเยี่ยนกำลังเอาหน้าซุกผ้าห่มแกล้งร้องไห้ หาไม่คงจะซ่อนผิวหน้าที่แดงก่ำดุจไฟอังเอาไว้ไม่อยู่ นางนึกบริภาษความหน้าหนาของกู้เจาเป่ยอยู่ในใจ ทว่าเวลานี้ไม่เหลือทางเลือกอื่นอีกแล้ว มีแต่แสร้งทำเป็นถูกล่วงเกินเท่านั้นนางถึงยังพอจะมีอำนาจควบคุมสถานการณ์ได้บ้าง หากถูกเอาไปพูดว่านางลอบนัดหมายบุรุษมาพลอดรักกลางดึก รับรองว่าได้จบอนาถอย่างแท้จริงแน่
แต่กู้เจาเป่ยก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี กิริยาท่าทางแบบพวกคนร้ายเช่นนี้ เพียงมานั่งบนเตียงเฉยๆ โดยไม่ต้องสาธยายอะไรก็รู้แล้วว่าต้องเป็นโจรเด็ดบุปผา
นายผู้เฒ่าเสิ่นสูดหายใจลึกๆ อยู่หลายครั้ง แล้วยกมือชี้กู้เจาเป่ย “คุณชายสี่สกุลกู้ทำเช่นนี้ออกจะ…ออกจะ…”
พูดได้เพียงเท่านั้นเขาก็เอามือกุมอก ทำท่าเหมือนหายใจไม่ออก เสิ่นฮูหยินรีบเข้าไปช่วยประคอง “นายท่าน อย่าโมโหมากไปสิเจ้าคะ ระวังสุขภาพด้วย!”
เหล่าอี๋เหนียงต่างกรูกันเข้ามาประคับประคอง ทว่านายผู้เฒ่าเสิ่นกลับหมดสติไปตรงนั้นเหมือนลมจุก อก
“ใครก็ได้! ประคองนายผู้เฒ่ากลับเรือน!” เสิ่นฮูหยินตะโกนสั่ง
คราวนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่เสียแล้ว สองคนพี่น้องทำนายผู้เฒ่าเสิ่นโมโหจนลมจับกลางดึก ไม่ใช่ว่าแก้ตัวเพียงสองสามคำแล้วจะจบเรื่องได้
ฟ้าใกล้สางเต็มที อัครเสนาบดีกู้มาที่จวนสกุลเสิ่นแต่เช้าตรู่ ซ้ำยังนำไม้จารึกกฎตระกูลมาด้วย
เสิ่นกุยหย่าตามมาด้านหลังด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ
กู้เจาตงกับกู้เจาเป่ยนั่งคุกเข่าอยู่ในห้องโถงใหญ่จวนสกุลเสิ่น พอรู้ว่าเรื่องราวลุกลามใหญ่โตทั้งคู่ต่างพากันคุกเข่าสงบเสงี่ยมอยู่ครึ่งคืน รอจนกว่าผู้เป็นบิดาจะมาถึง
“เดรัจฉาน!” อัครเสนาบดีกู้ถือไม้จารึกกฎตระกูลยาวสี่ฉื่อ พอก้าวเข้ามาในห้องโถงใหญ่ก็ฟาดลงบนร่างบุตรชายคนเล็กเต็มแรง