บทที่ 12 ตกลงตามนี้
กู้เจาตงผงะ หันไปมองเสิ่นกุยหย่าโดยไม่รู้ตัว ฝ่ายนั้นกำลังขมวดคิ้ว ความขุ่นมัวระบายออกมาทางสีหน้าอย่างปิดไม่มิด
เดิมทีนางอาศัยบุตรในครรภ์แต่งเข้าสกุลกู้อย่างราบรื่น แต่ในวันแต่งงานอันแสนสำคัญ…สามีกลับหนีออกมาหาเสิ่นกุยเยี่ยนในคืนเข้าหอ มาคนเดียวยังพอว่า นี่คุณชายสี่ก็ตามมาด้วยอีกคน คนที่ทะลุมิติมาคือนางต่างหาก เรื่องอะไรถึงแห่กันมารุมกลุ้มตามพะเน้าพะนอสตรีอื่น
เสิ่นกุยหย่าไม่สบอารมณ์เอาเสียเลย ไม่สบอารมณ์อย่างมากด้วย ทว่านางเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง รู้ว่าเวลาแย่งบุรุษกับสตรีอื่นจะโวยวายเกรี้ยวกราดไม่ได้ ต้องอ่อนหวานนุ่มนวลเข้าไว้ถึงจะดี
ดังนั้นนางจึงทำเป็นฝืนยิ้ม “หย่าเอ๋อร์ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ถึงอย่างไรการแต่งงานครานี้ก็ควรเป็นของพี่สามอยู่แล้ว ขอเพียงท่านพ่อไม่ทำโทษเจาตง หย่าเอ๋อร์ก็สบายใจแล้ว หากหัวใจเจาตงจะมีพี่สาม หย่าเอ๋อร์ก็บังคับกะเกณฑ์ไม่ได้…”
นางพูดด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจพลางบีบน้ำตาคลอเบ้าชำเลืองมองกู้เจาเป่ย
คนถูกมองแค่นหัวเราะหยันๆ แล้วทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นอย่างสบายๆ “คนหนึ่งทำให้เจ็บ คนหนึ่งยอมเจ็บ นี่มันเรื่องของชาวบ้าน พูดมากไปก็เท่านั้น อีกอย่างเยี่ยนเอ๋อร์เองก็สมัครใจจะแต่งงานกับข้า แล้วมันธุระกงการอะไรของพี่ใหญ่ด้วย”
“ข้าถามเยี่ยนเอ๋อร์ ไม่ได้ถามเจ้า” โทสะของกู้เจาตงแล่นฉิวขึ้นมาบ้างแล้ว “คงเพราะมารดาน้องสี่ด่วนจากไปเร็วกระมัง ถึงไม่ได้อบรมสั่งสอนเจ้าว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ เยี่ยนเอ๋อร์เป็นกุลสตรีชนชั้นสูง เหตุใดเจ้าถึงได้…”
“พี่ใหญ่!” รอยยิ้มของกู้เจาเป่ยเลือนหาย สีหน้าบึ้งตึงลงทันตา
เสิ่นกุยเยี่ยนสะดุ้งวาบ คนที่ทำตัวทะเล้นหยิบโหย่งเป็นวิสัย พอจะจริงจังขึ้นมาก็น่ากลัวไม่ใช่น้อย
กู้เจาตงเองก็ร่างสะท้านไปชั่วขณะหนึ่ง กระนั้นก็ยังไม่ยอมลงให้ “ข้าพูดผิดหรือ เจ้าประพฤติตนหุนหันเอาแต่ใจเช่นนี้ มีแต่จะทำให้โครงกระดูกมารดาเจ้าที่อยู่ใต้ดินถูกคนเขาชี้นิ้วด่าเท่านั้น…”
กู้เจาเป่ยลุกพรวดขึ้นมาอย่างที่ใครก็เข้าไปขวางไว้ไม่ทัน แล้วเงื้อเท้าถีบพี่ชายที่ยังนั่งคุกเข่าจนหงายหลังล้มตึงไปกับพื้น
“เจาตง!” เสิ่นกุยหย่าหวีดร้อง
เสิ่นกุยเยี่ยนลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ “คุณชายสี่!”
ถูกต้องที่ว่ากู้เจาตงพูดแรงเกินไป แต่ก็ไม่ควรใช้กำลังตามใจชอบ
ถีบทีเดียวยังไม่สาแก่อารมณ์ กู้เจาเป่ยก้าวเข้าไปหมายจะถีบซ้ำ แต่พ่อบ้านสกุลกู้ที่อยู่อีกด้านผวาเข้ามาจับตัวเขาไว้ก่อน กู้เจาตงลุกขึ้นได้ก็ประเคนหมัดใส่บ่าน้องชายโดยไม่สนใจว่าจะมีผู้อื่นอยู่ด้วย
ซ้ำร้ายดันต่อยเข้าที่บ่าซ้ายพอดี เสิ่นกุยเยี่ยนใจหายวาบ รีบร้องห้าม “อย่านะ!”
ความเคลื่อนไหวของกู้เจาตงสะดุดลงเล็กน้อย ก่อนจะต่อยเข้าเป้าโดยแรง ฝ่ายกู้เจาเป่ยถูกพ่อบ้านจับตัวไว้แน่น แม้แต่จะขัดขืนยังทำไม่ได้ เลยถูกชกเข้าเต็มแรง
เพียงมองยังเจ็บแทน เสิ่นกุยเยี่ยนปรี่เข้าไปเอาตัวบังกู้เจาเป่ยเอาไว้ “ท่านมีครอบครัวแล้วนะ เหตุใดยังอารมณ์ร้อนจนใช้กำลังกับผู้อื่นอยู่อีกเล่า”
กู้เจาตงโมโหจนลมแทบจับ ไม่หายแค้นแม้แต่น้อย “มันใช้กำลังกับข้าก่อนนะ!”
กู้เจาเป่ยที่อยู่ข้างหลังแค่นเสียงขึ้นจมูกดังหึ สีหน้าบึ้งตึงไม่พูดไม่จา ดูออกว่ายังขืนตัวอยู่ ขอเพียงพ่อบ้านกล้าปล่อยมือ เขาก็จะพุ่งเข้าไปต่อยพี่ชายให้หนำใจ
เสิ่นกุยเยี่ยนเม้มปาก แต่ก่อนนางชมชอบความสุภาพนุ่มนวลของกู้เจาตงมาโดยตลอด แต่วันนี้ภาพลักษณ์ดังกล่าวถูกทำลายจนแทบไม่เหลือชิ้นดี ที่แท้เวลาบุรุษเลือดขึ้นหน้าก็เป็นเหมือนกันหมด
“พวกท่านนั่งพักนิ่งๆ รอท่านอัครเสนาบดีกับท่านพ่อมาสรุปดีกว่า เมื่อครู่ก็ถูกโบยมาด้วย” เสิ่นกุยเยี่ยนก้มหน้าหันไปมองรอยเปียกเหนอะบนบ่ากู้เจาเป่ย “คุณชายสี่ไม่เจ็บใช่หรือไม่”
ฝ่ายนั้นผ่อนคลายร่างที่ขืนเกร็งลงแล้วแค่นจมูกเบาๆ พ่อบ้านที่อยู่ด้านหลังเห็นดังนั้นจึงยอมปล่อยมือ
“ร่างกายคนเราสร้างมาจากเลือดเนื้อ จะไม่เจ็บได้อย่างไร” คุณชายสี่สกุลกู้ทรุดตัวลงคุกเข่าอีกครั้ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเสิ่นกุยเยี่ยน แล้วเผยท่าทีทะเล้นดังเดิม “แต่เห็นเจ้าปกป้องข้าถึงเพียงนี้ ข้าก็อารมณ์ดีแล้วล่ะ”
อีกทั้งเรื่องที่ทำให้เขาอารมณ์ดียิ่งกว่านั้นคือใครบางคนที่โมโหจนหน้าเขียว
เสิ่นกุยเยี่ยนมุมปากกระตุกแล้วเลือกถอยไปยืนห่างๆ กู้เจาตงหรี่ตามองน้องชายอยู่พักใหญ่ ถึงค่อยเดินเข้ามาคุกเข่าลงบ้าง
การหารือของบิดาทั้งสองฝ่ายสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว นายผู้เฒ่าเสิ่นเห็นว่าอัครเสนาบดีกู้ถึงกับนำไม้จารึกกฎตระกูลมาสั่งสอนบุตรชายทั้งสองถึงที่นี่ ความขุ่นใจก็คลายลงไม่น้อย จึงรีบรุดมาที่ห้องโถงใหญ่ชนิดว่าหายปวดเอวเมื่อยขาเป็นปลิดทิ้ง