บทที่ 170 แผ่นดินไร้ความผิด
กู้เจาเป่ยนัยน์ตาแดงก่ำ กู้เจาหนานที่อยู่ด้านหลังตัดสินใจปุบปับ ก้าวเข้ามาสับหลังมือลงบนท้ายทอยฮ่องเต้แล้วพาขึ้นม้าทันที
หากมัวแต่โอ้เอ้ สิ่งที่เสียไปจะเป็นทหารที่อยู่ด้านหลัง ล้วนแล้วแต่เป็นชีวิตคนเช่นกัน
อวี่เหวินฉางชิงแปรพักตร์ จึงไม่แปลกที่จะหนีออกจากเมืองหลวง กองทหารอันบอบช้ำของกองทัพทักษิณและกองทหารรักษาพระองค์สู้ไปถอยไป มิได้รบยืดเยื้อ ดีที่เมืองหลวงมีตรอกเล็กซอยน้อยมากมาย และเหล่าบัณฑิตได้จัดเตรียมค่ายกลต่างๆ ไว้รอท่าแต่แรกแล้ว ระหว่างถอนทัพจึงไม่สูญเสียไพร่พลไปมากนัก
ฮ่องเต้ส่งเหนียนไทเฮาไปอยู่ในที่ปลอดภัยตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อน แต่เสิ่นกุยเยี่ยนไม่ยอมไป นางเป็นห่วงราษฎรอยู่ตลอดและเลือกจะเฝ้ารอกู้เจาเป่ยที่วังหลวงทุกวัน จะยอมเข้านอนก็ต่อเมื่อเห็นเขากลับมาอย่างปลอดภัย
ดังนั้นวังหลวงในยามนี้จึงเหลือเพียงเสิ่นกุยเยี่ยน
ตอนเกาจิ่นซิ่วถูกเป่าซั่นที่ร้องห่มร้องไห้พามาถึงตำหนักหย่งเหอก็ต้องตกตะลึงจนตาค้าง เสิ่นกุยเยี่ยนนอนเหงื่อแตกพลั่กเต็มหน้าผาก มีของเหลวไหลออกมาจากข้างล่าง
“จะคลอดแล้ว!”
นางกำนัลด้านนอกยังคงเอ่ยเร่งให้เกาจิ่นซิ่วรีบหนีไป เดิมทีนางตั้งใจจะมาพาเยี่ยนเอ๋อร์ไปด้วยกัน แต่สหายรักกลับจำเพาะต้องมาคลอดบุตรในตอนนี้ น้ำคร่ำแตกแล้วเสียด้วย
หากพาระหกระเหินทั้งอย่างนี้จะต้องกลายเป็นหนึ่งศพสองชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่มีเวลาให้ใคร่ครวญแล้ว เกาจิ่นซิ่วกัดฟันพูดกับคนข้างหลัง “ข้าจะอยู่ต่อ พวกเจ้าจะไปก็รีบไปเสีย!”
เสิ่นกุยเยี่ยนยังมีสติอยู่ แต่ไม่ยอมพูดจาเพราะอยากเก็บแรงไว้ ครรภ์นี้เป็นครรภ์แรก ทั้งบุตรของนางยังจะคลอดในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะปกป้องเด็กคนนี้เอาไว้ให้ได้
ไม่มีหมอตำแย เป่าซั่นและเกาจิ่นซิ่วก็ไร้ประสบการณ์กันทั้งคู่ กระนั้นเป่าซั่นก็ยังไปเตรียมน้ำร้อนมา ขณะที่เกาจิ่นซิ่วคอยให้กำลังใจเสิ่นกุยเยี่ยน
“ขะ…ข้าไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี แต่เจ้าต้องแข็งใจไว้ให้ได้นะ” นางมองใบหน้าซีดเผือดของสหายพลางน้ำตาร่วงพรู “หากเด็กคนนี้คลอดออกมาได้ จะต้องได้รับการปกป้องคุ้มครองจากสวรรค์แน่นอน”
เสิ่นกุยเยี่ยนสูดหายใจเบาๆ แล้วเอื้อมมือไปหยิบผ้าเช็ดหน้าข้างตัวมากัดไว้เอง พอรู้สึกเจ็บท้องหนักก็ออกแรงเบ่งตามสัญญาณจากเกาจิ่นซิ่ว
เสียงกู่ร้องคำรามดังสะท้านฟ้าอยู่ข้างนอก ประตูเมืองหลวงเปิดอ้า ประตูวังหลวงก็ใกล้จะพังลงเต็มที
เหวินโซ่วซานเข้าเมืองมาฆ่าฟันชาวบ้านเป็นผักปลาพลางหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“ตีวังหลวงให้แตก เท่านี้แผ่นดินก็เป็นของพวกเราแล้ว!”
ทหารในกองทัพกำลังฮึกเหิมเต็มที่จนลืมไปโดยสิ้นเชิงว่าพวกชาวบ้านในเมืองก็เป็นคนเหมือนอย่างพวกตน ถึงกับฆ่าคนไม่เลือก ทั้งฉุดคร่ากระทำชำเราหญิงชาวบ้านไม่ต่างจากพวกโจรป่าหรือโจรสลัดแต่อย่างใด เสียงร่ำไห้ดังระงมไปทั้งเมืองหลวง ผู้เฒ่าผู้แก่ที่อยู่ในคุกหลวงกับจวนขุนนางยังแคล้วคลาดจากภัยร้าย ทว่าราษฎรที่อยู่ในบ้านตนเองเจ็บตายกันไม่น้อย
ผ่านไปไม่นานประตูวังหลวงก็ถูกตีแตก ทว่าข้างในไม่มีผู้ใดทั้งสิ้น
โคมชาววังแตกเป็นเสี่ยงๆ สมบัติที่เจ้าของเก็บไปไม่ทันหล่นเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น ทั้งปิ่นปักผมของนางกำนัล รองเท้าหุ้มแข้งของขันที ม่านมุ้งขาดวิ่น แต่คนที่อยู่ข้างในหนีไปกันหมดแล้ว
“ฮ่องเต้อยู่ที่ใด” เหวินโซ่วซานถามหน้าเครียด
เมื่อครู่มัวแต่ห่วงตีเมืองจนไม่ทันสังเกตว่าอวี่เหวินฉางชิงหายไปที่ใดก็ไม่รู้
เสิ่นกุยอู่ที่ได้รับบาดเจ็บก้าวออกมาตอบ “อวี่เหวินฉางชิงนำทหารแปดหมื่นนายแปรพักตร์ พาฮ่องเต้หนีไปหลีโจวแล้วขอรับ”
“อะไรนะ!” เหวินโซ่วซานแผดเสียงดังลั่น “เขาจะได้กินตำแหน่งสูงส่งทรงอำนาจอยู่รอมร่อแล้ว เหตุใดถึงได้แปรพักตร์ในเวลาเช่นนี้”
เสิ่นกุยอู่ส่ายหน้า “ผู้น้อยไม่ทราบขอรับ แต่เขาไปเช่นนี้ทัพใหญ่ของเรามีแต่ทหารบาดเจ็บหลังศึกใหญ่ คงไล่ตามไม่ทัน”
“ไปนานเท่าไรแล้ว”
“คนของแม่ทัพอวี่เหวินบุกเข้าเมืองก่อน คาดเวลาดูน่าจะสองชั่วยามแล้วขอรับ”
เหวินโซ่วซานสบถอย่างเกรี้ยวกราด สงสัยอยู่แล้วเชียวว่าช่วงศึกหลายเดือนที่ผ่านมาเหตุใดถึงได้ถูกฝ่ายตรงข้ามรู้ทันกลยุทธ์และกระบวนทัพตลอด ที่แท้ก็เพราะเจ้าคนทรยศอวี่เหวินฉางชิงนี่เอง