ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน นางแอ่นขับขาน สกุณาแซ่ซ้อง บทที่ 7-8
บทที่ 8 ข้าจะแต่งกับนาง
กู้เจาเป่ยยืนพิงเสากรอกสุราลงคออึกหนึ่งแล้วอดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ ที่ผ่านมามีแต่คนชื่นชมพี่ใหญ่ของเขาว่าเป็นบุรุษแน่วแน่ซื่อตรง ไม่นึกเลยว่าพอเป็นเรื่องสตรีเข้าหน่อยก็ทำตัวต่ำทรามได้เหมือนกัน
สวี่เมิ่งเตี๋ยของพี่รองตั้งครรภ์แล้ว เวลานี้หลิ่วอี๋เหนียงกำลังถือไพ่เหนือกว่า เชื่อว่าพี่ใหญ่ตัดสินใจแต่งงานกับคุณหนูห้าสกุลเสิ่นเพราะหมายจะใช้เด็กในครรภ์มารับรองสถานะของตนก่อน แล้วค่อยไปตามเกลี้ยกล่อมคุณหนูสามสกุลเสิ่นภายหลัง
แต่เขาอยากรู้นัก หากคุณหนูสามสกุลเสิ่นไม่ยอมถูกหลอกแล้วยกโทษให้ง่ายๆ เล่า กู้เจาตงจะเป็นเช่นไร
“สองสามวันนี้เจ้าช่วยปลอบทางสกุลเสิ่นให้ข้าไปพลางๆ ก่อน อย่าให้ใครกดขี่รังแกเยี่ยนเอ๋อร์ได้” กู้เจาตงสั่งเฟิ่งเซี่ยว พอเห็นคนสนิทรับคำแล้ว เขาถึงค่อยหมุนตัวเดินไปทางห้องหอ
เฟิ่งเซี่ยวเป็นบ่าวมีไหวพริบคล่องงาน แม้ฟ้าจะมืดแล้วก็ยังรีบจูงม้าออกจากจวนด้วยตนเอง สกุลเสิ่นอาศัยอยู่ในจวนขุนนางทางตอนเหนือของเมือง จากที่นี่ใช้เวลาขี่ม้าไม่กี่ถ้วยชา* เท่านั้น
กู้เจาเป่ยก้าวออกจากหลังเสาเมื่อเฟิ่งเซี่ยวลับสายตาไปแล้ว หลังจากคิดอะไรอยู่เล็กน้อยเขาก็โยนกาสุราในมือทิ้งลงไปในพุ่มไม้ข้างๆ แล้วตามเฟิ่งเซี่ยวออกจากจวนบ้าง โดยขี่ม้าไปยังทิศที่ม้าตัวแรกมุ่งไป
เสิ่นกุยเยี่ยนจัดห้องตั้งป้ายวิญญาณให้มารดา เนื่องจากฉินอี๋เหนียงเป็นเพียงอนุ แม้ตายไปก็ไม่ได้จัดงานศพในห้องโถงใหญ่และจะตั้งศพไว้ในจวนไม่ได้ ศพถูกส่งออกไปเก็บที่โรงทึมแต่แรกแล้ว นางจึงทำได้เพียงห้อยผ้าขาวตั้งป้ายวิญญาณอยู่ในเรือน
ฝนยังไม่ขาดเม็ด ไม่รู้ว่าป่านนี้สกุลกู้จะครึกครื้นวุ่นวายสักเพียงใด เสิ่นกุยเยี่ยนคุกเข่าตัวตรงแหน็วพลางค่อยๆ หย่อนกระดาษเงินกระดาษทองลงในกองไฟ ดวงหน้าสะอาดเกลี้ยงเกลาไร้คราบน้ำตา ทว่าดวงตาแดงก่ำจนน่าตกใจ
“ฮือ…” เป่าซั่นยืนยกมือปิดปากสะอื้นไห้อยู่นอกเรือน แม้ชายกระโปรงเปียกฝนก็ไม่กล้าเข้าไปข้างใน
เฟิ่งเซี่ยวสวมเสื้อฟางกันฝนเดินลิ่วๆ อย่างรีบเร่ง พอมาถึงที่หมายแล้วเห็นเป่าซั่นในสภาพนั้นก็ถามอย่างร้อนรน “แม่นางเป็นอะไรไป คุณหนูสามเล่า”
เสิ่นกุยเยี่ยนกับกู้เจาตงไม่อาจพบกันได้บ่อยๆ เพราะผิดธรรมเนียม ทว่าบ่าวรับใช้คนสนิทของทั้งคู่นับว่าคุ้นเคยกันอย่างยิ่ง เป่าซั่นดึงอีกฝ่ายหลบออกมาไกลๆ แล้วกระซิบ “ข้าอยากร้องไห้ยิ่งกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่คุณหนูบอกว่าห้ามร้องเพราะจะทำให้ดวงวิญญาณของอี๋เหนียงไม่เป็นสุข แต่ข้าทนไม่ไหว เลยไม่กล้าเข้าไป…คุณหนูยังอยู่ข้างในนั่นล่ะ”
เฟิ่งเซี่ยวถอนหายใจเบาๆ แล้วเหลือบตามองสาวใช้ “เอาเถิด นิ่งเสีย ตามข้าไปคุยกันตรงมุมปลอดคนก่อน อยู่ตรงนี้หากคุณหนูของเจ้ามาเห็นข้าเข้าอาจเศร้าเสียใจยิ่งกว่าเดิม”
เป่าซั่นพยักหน้าแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายดึงตัวไปอีกทาง
สาวใช้และหญิงรับใช้สูงวัยในเรือนถูกสั่งให้ไปเฝ้าศพที่โรงทึมทั้งหมด รอจนกว่าฉินอี๋เหนียงจะถูกบรรจุโลงฝังดินในวันพรุ่งนี้ ยามนี้เมื่อเป่าซั่นไปอีกคน ในเรือนจึงเหลือเพียงเสิ่นกุยเยี่ยนคนเดียว
กู้เจาเป่ยที่ดื่มสุราจนเมากรึ่มตรงดิ่งเข้ามาในเรือนอย่างเปิดเผย เสื้อผ้าเปรอะขี้ดินตอนปีนกำแพงเข้ามา แล้วถูกฝนชะซ้ำจนเลอะเป็นปื้น สกปรกมอมแมมไปทั้งตัว ทว่าเขายังคงลอบเข้าไปยืนแอบตรงมุมห้องตั้งป้ายวิญญาณโดยไม่สนใจแม้แต่น้อย
เฮ้อ ใช่ว่าข้าจะเข้ามาทำอะไรมิดีมิงามเสียหน่อย แค่ได้ยินผู้คนชื่นชมคุณหนูสามสกุลเสิ่นมานานปี เลยอยากมาดูว่านางรูปร่างหน้าตาอย่างไรเท่านั้นเอง
เสิ่นกุยเยี่ยนไม่ได้สนใจความเป็นไปรอบตัว พอนางเผากระดาษเงินกระดาษทองเสร็จก็โขกศีรษะคำนับ แล้วคุกเข่าอยู่บนเบาะรองเงียบๆ อย่างเหม่อลอย
ลมพัดกรูเข้ามาจากประตูจนธูปเทียนบนโต๊ะเกือบดับ พาให้เสิ่นกุยเยี่ยนได้สติ นางลุกขึ้นหมายจะไปปิดประตู ปรากฏว่าเพียงหมุนตัวนางก็ชนกู้เจาเป่ยที่แอบย่องเข้ามาจากทางด้านหลังเพื่อยลโฉมนางเข้าอย่างจัง
“หวา!”
นี่ไม่ใช่เสียงร้องของเสิ่นกุยเยี่ยน แต่เป็นเสียงของกู้เจาเป่ย เขาไม่ร้องอย่างเดียว ยังถอยหลังกรูดสามก้าวแล้วตะโกนโหวกเหวกออกไปนอกประตูอย่างตื่นตระหนก “มาช่วยกันจับขโมยหน่อย!”
เสิ่นกุยเยี่ยนเบิกตามองเขานิ่งด้วยความอึ้งงัน
ความเศร้าโศกอันเข้มข้นพาให้ท่าทีตอบสนองต่อทุกสิ่งเชื่องช้าลง หากเป็นเวลาปกติ จู่ๆ มีบุรุษหน้าตามอมแมมโผล่พรวดเข้ามาทางด้านหลังเช่นนี้ รับรองว่าเสิ่นกุยเยี่ยนจะร้องดังกว่ากู้เจาเป่ยเสียอีก
พอตะโกนเสร็จกู้เจาเป่ยถึงเพิ่งรู้สึกตัว ดูเหมือนที่นี่จะไม่ใช่จวนอัครเสนาบดีแต่เป็นจวนสกุลเสิ่น และ ‘เจ้าหัวขโมย’ นั่นก็คือเขาเอง พลาดเสียแล้วสิ
เขาหัวเราะแห้งๆ สองที รู้สึกว่าคืนนี้ตนเองดื่มหนักน่าดู ดังนั้นจึงค้อมกายให้เสิ่นกุยเยี่ยนทีหนึ่ง “ผู้น้อยเพียงผ่านทางมาเท่านั้น ต้องขออภัยที่ล่วงเกิน คุณหนูโปรดอย่าได้ถือโทษ”
พูดจบเขาก็เงยหน้าขึ้นแล้วตะลึงงันอยู่ตรงนั้น
“ขโมยขึ้นเรือนทางนั้นหรือ!” เสียงบ่าวร้องถามกันเริ่มลอยแว่วมาจากด้านนอก รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าเสียงใกล้เข้ามาทุกที กู้เจาเป่ยควรหนีไปเสีย ทว่าดวงหน้าที่เขาจับจ้องอยู่ในยามนี้ทำให้คนไม่อาจถอนสายตาได้อย่างน่าประหลาด
เขาเป็นหนึ่งในสี่คุณชายเจ้าสำราญแห่งเมืองหลวง สามารถจดจำสตรีได้จากกลิ่น ถึงขั้นเคยปิดตาท่องชื่อหญิงสาวในหอคณิกาทั้งหมดของเมืองหลวงไม่ผิดแม้แต่ชื่อเดียวมาแล้ว สตรีที่เขาเคยพบเจอสามารถจับมายืนเรียงแถวกันขั้นต่ำยังยาวจากหัวถนนไปสุดถนน แต่ไม่เคยมีคนใดที่ทำให้เขาตะลึงลานได้เช่นนี้มาก่อน
ช่างเป็นใบหน้าที่รื่นตาเสียนี่กระไร กลีบปากแดงเรื่อ คิ้วโก่งเรียว ดวงตารูปเมล็ดซิ่ง พวงแก้มสีชมพู แววตาใสกระจ่างดุจธารน้ำอย่างหาได้ยาก น่าเสียดายที่ติดจะดูเลื่อนลอย ตรงกลางหว่างคิ้วเป็นปื้นแดงจางๆ แต่งแต้มความฉูดฉาดให้ใบหน้า แต่โดยรวมก็ยังดูงดงามสุขุมอยู่ดี
พอเพ่งพิศอีกทีก็พบว่านางไม่ได้งดงามบาดตาอะไรนัก เพียงงดงามกว่าสตรีทั่วไปอยู่บ้างเท่านั้น แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดเมื่อครู่นางถึงได้ดึงดูดสายตาเขาอย่างอยู่หมัด กู้เจาเป่ยยกมือขยี้ตา หรือจะเป็นเพราะข้าดื่มจนเห็นภาพหลอน?