ทว่าเรื่องนี้ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด นางคิดเหตุผลได้ตั้งนานแล้ว
“เป็นเพราะตอนที่ศีรษะของข้ากระแทกกับก้อนหิน พี่ใหญ่ได้ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ยามนั้นข้าถึงได้รู้ ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะเป็นอย่างไรมา ข้ากับเขาก็ล้วนเป็นพี่น้องที่มีสายเลือดใกล้ชิดกัน ข้าควรจะปฏิบัติตัวดีๆ ต่อเขามิใช่หรือ”
หลี่หลิงหว่านพูดประโยคเหล่านี้ออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำยิ่ง เนื่องจากคำโกหกที่ว่าหลี่เหวยหยวนเป็นคนช่วยนางนี้ก็ได้เอ่ยกับฮูหยินผู้เฒ่ามาก่อนหน้าแล้ว วันหน้าหากมีคนรอบข้างสงสัยขึ้นมาอีกว่าเหตุใดนางถึงทำดีกับหลี่เหวยหยวน นางก็จะอาศัยเหตุผลดังกล่าวนี้ตอบไป ในเมื่อเรื่องนี้ผ่านการยืนยันจากฮูหยินผู้เฒ่ามาก่อนแล้ว ยังจะมีใครกล้าสงสัยนางอีกเล่า นับเป็นการปิดปากทุกคนได้ดี ทั้งยังช่วยให้ในวันหน้านางไม่ต้องเปลืองแรงมานั่งคิดหาเหตุผลที่น่าเชื่อถืออีก
ใบหน้าเสี่ยวซานมีสีหน้ากระจ่างแจ้งขึ้นมา “คิดไม่ถึงว่าคุณชายใหญ่ที่ภายนอกดูเย็นชาไม่น่าเข้าใกล้นั้น แท้จริงภายในจะเป็นคนดีถึงเพียงนี้นะเจ้าคะ”
เอ่ยจบนางก็ย่อตัวคารวะหลี่หลิงหว่าน จากนั้นจึงหมุนตัวออกไปสืบข่าวเรื่องที่หลี่หลิงหว่านฝากฝังไว้ทันที
ระหว่างสาวใช้ด้วยกันย่อมมีสายข่าวเป็นของตนเอง ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวันเสี่ยวซานก็กลับมาแล้ว นางรายงานเรื่องที่สืบมาได้ให้หลี่หลิงหว่านฟังอย่างละเอียด
หลี่หลิงหว่านก็คิดไม่ถึงว่าความสามารถของเสี่ยวซานจะสูงขนาดนี้
ทันทีที่รู้ว่าควรจะซื้อชุดกันหนาวกับรองเท้าหุ้มข้อขนาดเท่าไรแล้ว ยามนี้ก็เหลือแค่หยิบเงินให้เสี่ยวซานนำไปให้พี่รองของนางก็เป็นอันเรียบร้อย
ทว่าเงินอยู่ที่ใดกันเล่า หลี่หลิงหว่านไม่รู้จริงๆ
นางถามเสี่ยวซานแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ส่ายศีรษะบอกว่าไม่รู้เช่นกัน พอไปถามเสี่ยวอวี้ นางจึงได้รู้ว่า “เงินรายเดือนของคุณหนูล้วนเก็บอยู่ที่พี่ฮว่าผิงเจ้าค่ะ”
หลี่หลิงหว่านให้เสี่ยวอวี้ไปเรียกฮว่าผิงมา ก่อนจะถามนาง “เงินรายเดือนที่ผ่านมาของข้าเจ้าเก็บเอาไว้ที่ใดกัน”
ฮว่าผิงกำลังหงุดหงิดอยู่พอดี ด้วยเมื่อครู่พ่อบ้านผู้ดูแลจวนเพิ่งส่งคนมาบอกนางว่าเป็นเพราะนางไม่รับใช้คุณหนูให้ดี ฮูหยินผู้เฒ่าจึงตัดเงินเดือนนางเป็นเวลาสามเดือน
เงินเดือนสามเดือนเชียวนะ นับว่าเป็นเงินไม่น้อยเลย ที่สำคัญที่สุดก็คือนางต้องเสียหน้า ดังนั้นก่อนหน้านี้ฮว่าผิงจึงไม่อยากจะทำอะไรเลย นางยังคงรู้สึกไม่สบอารมณ์มาโดยตลอด
ยามนี้เมื่อได้ยินหลี่หลิงหว่านถามถึงเงิน ฮว่าผิงจึงไม่เอ่ยอะไรอีก เพียงหันร่างแล้วเดินกลับไปที่ด้านหลังฉากบังลมเงียบๆ
ฉากบังลมทอลายดอกอวี้หลันนี้เป็นผ้าโปร่งสีขาว สามารถมองเห็นเงาคนที่อยู่ด้านในได้อย่างเลือนราง
หลี่หลิงหว่านเห็นฮว่าผิงเดินตรงไปยังตู้ที่วางอยู่มุมเตียง ยื่นมือไปหยิบกล่องเล็กประดับมุกเคลือบเงาซึ่งวางอยู่บนสุดแล้วอุ้มเดินออกมา
นางวางกล่องเล็กลงบนโต๊ะ หลังจากเปิดออกดูแล้วก็เห็นว่าที่ด้านล่างกล่องยังมีลิ้นชักเล็กๆ อยู่อีกสองอันซ้ายขวา เมื่อดึงลิ้นชักด้านขวาออกมา ภายในนั้นก็มีเงินแค่ไม่กี่พวงกับเศษเงินไม่กี่ก้อน
“น้อยเพียงนี้?” หลี่หลิงหว่านไม่อยากจะเชื่อเท่าไรนัก
เงินรายเดือนของคุณหนูทุกคนในจวนสกุลหลี่คือหนึ่งตำลึง ทว่าพวกเสื้อผ้าอาภรณ์ เครื่องประทินโฉม หรือของว่างทั้งหลายนั้นล้วนเป็นเงินที่ส่วนกลางจ่ายมาให้ ดังนั้นเงินจำนวนหนึ่งตำลึงนี้จึงเปรียบได้กับค่าขนมของบรรดาคุณหนู ทว่ายามปกติคุณหนูในตระกูลใหญ่ก็ไม่ค่อยออกจากจวนเท่าไรนัก จำเป็นต้องใช้เงินเสียที่ไหนกัน มิหนำซ้ำโจวซื่อเองก็มักให้หลี่หลิงหว่านเพิ่มอยู่ตลอด จริงๆ แล้วเงินที่เจ้าของร่างเดิมเก็บสะสมไว้ไม่ควรมีน้อยถึงเพียงนี้
เดิมทีฮว่าผิงก็อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว ทั้งคิดว่าอย่างไรหลี่หลิงหว่านก็เป็นแค่เด็กแปดขวบคนหนึ่งจะไปรู้เรื่องอะไร ดังนั้นนางจึงเอ่ยว่า “มีเพียงเท่านี้แหละเจ้าค่ะ คุณหนูชอบกินของว่างกับขนมหวานของหออู่เซียง สมัยก่อนมักหยิบเงินออกมาแล้วใช้พวกบ่าวออกไปซื้อมาให้ บางทีเงินหนึ่งตำลึงต่อเดือนยังไม่พอให้ท่านใช้เลยนะเจ้าคะ”
หลี่หลิงหว่านไม่ได้เอ่ยอะไร
ในยามนี้บัญชีก่อนหน้าของเจ้าของร่างเดิมมีเท่าไรนั้นนางเองก็คำนวณไม่ถูก ใครจะรู้ว่าที่สุดแล้วเงินพวกนี้หายไปที่ใดกันแน่ แต่ก็ช่างเถอะ นับจากนี้ขอแค่นางรู้จำนวนเงินรายเดือนว่ามีเท่าไรก็พอแล้ว
เห็นสีหน้าไม่สบอารมณ์ของฮว่าผิง หลี่หลิงหว่านก็รู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องทราบเรื่องที่ตนเองถูกตัดเงินเดือนสามเดือนแล้วเป็นแน่ หลี่หลิงหว่านคิดไปมาแล้ว สุดท้ายจึงเอ่ยถามฮว่าผิง “เรื่องที่ท่านย่าลงโทษเจ้า เจ้ารู้หมดแล้วใช่หรือไม่”
ฮว่าผิงผงกศีรษะด้วยความรู้สึกตกต่ำอย่างถึงที่สุด “บ่าวทราบเรื่องแล้วเจ้าค่ะ”
ในใจฮว่าผิงย่อมรู้สึกขัดเคืองหลี่หลิงหว่านอยู่บ้าง เมื่อคิดดูให้ถ้วนถี่แล้ว เรื่องนี้จะต้องเป็นหลี่หลิงหว่านที่ไปบอกกับฮูหยินผู้เฒ่าเป็นแน่