บทที่สอง
ยามนี้เป็นช่วงเวลาจุดโคมแล้ว ทั้งภายในและภายนอกเรือนอี๋เหอต่างก็จุดโคมสว่างไสว เมื่อเห็นหลี่หลิงหว่านกลับมา เสี่ยวอวี้กับคนอื่นๆ ก็รีบออกมาต้อนรับ
บนพื้นภายในห้องปูด้วยพรมผืนหนา ตรงกลางวางกระถางไฟสามขาขนาดใหญ่กระถางหนึ่ง ถ่านฟืนภายในนั้นกำลังลุกโชติช่วง
หลี่หลิงหว่านมองไปยังถ่านฟืนในกระถางไฟสามขาขนาดใหญ่กระถางนั้น นางรู้สึกแค่เพียงว่าเพลิงโทสะในอกก็ลุกโชนดุจถ่านฟืนนี้เช่นกัน
“ดับถ่านฟืนในนี้ให้หมด” นางเอ่ยสั่งเสี่ยวอวี้เสียงต่ำ “แล้วก็เปิดหน้าต่างออกให้หมดด้วย”
หลี่หลิงหว่านรู้สึกว่าภายในห้องนี้น่าอึดอัดอย่างร้ายกาจ หากยังไม่เปิดหน้าต่างระบายอากาศออกไปอีก นางรู้สึกว่าตนเองจะต้องอึดอัดจนตายเป็นแน่
เสี่ยวอวี้ได้ยินแล้วก็เหลือบมองเสี่ยวซานคราหนึ่ง อ้าปากสอบถามโดยไร้เสียง “คุณหนูเป็นอะไรไป ไปโกรธอะไรมาจากข้างนอกหรือ”
ตอนนี้ยังอยู่ในเดือนหนึ่ง เป็นช่วงที่อากาศกำลังหนาว อีกทั้งขณะนี้ก็เป็นเวลาที่มืดแล้ว ข้างนอกมีลมพัด ถ้ายามนี้ดับถ่านและเปิดหน้าต่างทั้งหมดออกอีก คุณหนูไม่ทันระวังจนเป็นหวัดขึ้นมาจะทำเช่นไร
ในใจเสี่ยวซานกระจ่างดีถึงต้นสายปลายเหตุ นางจึงโบกมือให้เสี่ยวอวี้เงียบๆ บอกอีกฝ่ายไม่ต้องถามให้มากความ ก่อนที่เสี่ยวซานจะหมุนตัวไปเปิดบานหน้าต่างที่ด้านหลังเหล่านั้น เสี่ยวอวี้เห็นแล้วจึงรีบเร่งไปดับถ่านในกระถางไฟ
ทันทีที่ถ่านมอดดับสนิททั้งหมด หน้าต่างภายในห้องก็เปิดออกจนหมด กระทั่งประตูยังเปิดกว้าง ลมกลางคืนอันหนาวเหน็บก็พัดผ่านประตูกับบานหน้าต่างเข้ามาจนผ้าม่านสีชมพูภายในห้องโบกสะบัดไปมาไม่หยุด
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้หลี่หลิงหว่านก็ยังคงรู้สึกว่าความหงุดหงิดกับความอัดอั้นในใจไม่ได้สลายไปเลยแม้แต่นิดเดียว นางเดินกลับไปกลับมาอยู่ภายในห้องอย่างอดรนทนไม่ไหวยิ่ง
เสี่ยวซานกับเสี่ยวอวี้เองก็ไม่กล้าเอ่ยอะไร ทั้งสองคนยืนรวบมือกลั้นหายใจอย่างเรียบร้อยอยู่ด้านข้าง ราวกับเป็นแค่ของตกแต่งสองชิ้นอย่างไรอย่างนั้น
ภายในห้องเงียบสงบยิ่ง เงียบสงบจนได้ยินเสียงใบไม้พัดแซ่กๆ จากลมกลางคืนดังเข้ามา
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร หลี่หลิงหว่านพลันหันหน้าไปถามเสี่ยวซาน “ตอนนี้เป็นยามอะไรแล้ว”
เสี่ยวซานเอ่ยตอบอย่างระมัดระวัง “ตอนนี้เป็นยามอะไรกันแน่บ่าวเองก็ไม่แน่ใจ แต่บ่าวจำได้ว่าประมาณหนึ่งก้านธูปก่อนหน้าบ่าวได้ยินเสียงคนเคาะไม้บอกเวลาโมงยาม ดังขึ้นเจ้าค่ะ”
เช่นนั้นยามนี้ก็น่าจะเพิ่งยามซวีไปได้ไม่นาน
หลี่หลิงหว่านหันหน้าไปมองความมืดภายนอกหน้าต่าง
อากาศหนาวฟ้ามืดเร็ว ประมาณยามโหย่วท้องฟ้าก็ค่อยๆ มืดสลัวลงแล้ว ยามนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง มืดมิดไปนานแล้ว
นางครุ่นคิดแล้วก็หันหน้าไปถามเสี่ยวซานอีกครั้ง “ข้าจำได้ว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนข้าได้รับแท่นฝนหมึกเถาเหอมาอันหนึ่ง เจ้าไปหามาซิ”
“หามาตอนนี้เลยหรือเจ้าคะ” เสี่ยวซานถาม
หลี่หลิงหว่านผงกศีรษะ “อืม เจ้าไปหามาตอนนี้เลย ห่อให้ดีแล้วก็ตามข้าออกจากเรือน”
หลี่หลิงหว่านรู้สึกว่าหากคืนนี้ตนเองไม่ไปทำให้หลี่เหวยหยวนหายโกรธล่ะก็ นางจะต้องนอนไม่หลับเป็นแน่
เสี่ยวซานขานรับ ก่อนจะออกจากประตูไปยังห้องเก็บของด้านข้างพร้อมกับเสี่ยวอวี้เพื่อหาแท่นฝนหมึกเถาเหออันนั้นออกมา
หลี่หลิงหว่านถอนหายใจแล้วนั่งลงบนเก้าอี้
การขอคืนดีกับคนอื่นไม่ใช่เรื่องง่าย หากไปโดยไม่มีข้ออ้างเลยก็จะยิ่งเสียหน้า นางจึงตั้งใจนำเรื่องมอบแท่นฝนหมึกเถาเหอนี้มาเป็นข้ออ้าง ค่อยๆ ไปขอให้หลี่เหวยหยวนหายโกรธ
ทว่าในใจยังคงรู้สึกทุกข์ตรมนัก ที่สุดแล้วนางสร้างเคราะห์กรรมอะไรไว้กันแน่ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ตนเองถูกหลี่เหวยหยวนทำให้โกรธมากอยู่แท้ๆ แต่ยามนี้กลับต้องยอมลดทิฐิไปขอคืนดีกับเขาอีก
หลี่หลิงหว่านเงยหน้าถอนหายใจยาวคราหนึ่ง คิดว่านางยอมปลงกับเรื่อง ‘ขอคืนดี’ นี้ก็ได้ ในเมื่อไม่ว่าอย่างไรชีวิตน้อยๆ ของตนเองก็สำคัญกว่า
รอจนเสี่ยวซานกับเสี่ยวอวี้หาแท่นฝนหมึกเถาเหอเจอแล้ว หลี่หลิงหว่านก็สั่งให้เสี่ยวซานจุดโคมไฟดวงหนึ่ง ส่วนตนเองก็หยิบเสื้อคลุมสีแดงที่พาดอยู่บนราวแขวนเสื้อขึ้นมาสวม ทั้งยังสวมหมวกคลุมศีรษะ ในมือถือแท่นฝนหมึกเถาเหออันนั้นเดินออกไป