หลี่หลิงหว่านยังคงนอนละเมออย่างกระสับกระส่าย ทั้งยังร้องไห้สะอึกสะอื้นส่งเสียงวิงวอนแผ่วเบา “พี่ชาย อย่า ข้าขอร้องพี่ ได้โปรดไว้ชีวิตข้า”
หลี่เหวยหยวนเห็นนางเป็นเช่นนี้ ในใจก็รู้สึกโศกเศร้าเป็นอย่างมาก และยังเกิดความรู้สึกสงสารขึ้นมา
เขาโน้มตัวลงไปให้ปลายจมูกแตะโดนปลายจมูกนางเบาๆ ก่อนเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “เด็กโง่ ข้าจะตัดใจทำร้ายเจ้าลงได้อย่างไร เจ้าเป็นชีวิตของข้า ข้ายินยอมทำร้ายตนเองหนึ่งพันครั้ง หนึ่งหมื่นถ้อยคำ แต่ก็ยังไม่อาจตัดใจทำร้ายเจ้าลงแม้เพียงครั้งเดียว” กล่าวจบยังจุมพิตที่ริมฝีปากนางอย่างแผ่วเบาอีกครั้ง
แม้รู้อยู่แก่ใจว่าการจุมพิตขณะที่นางไม่ได้สติเช่นนี้ดูไม่สง่าผ่าเผยยิ่ง แต่เขาก็ควบคุมตนเองไม่ได้จริงๆ
ริมฝีปากของนางอ่อนนุ่มถึงเพียงนี้ จุมพิตนางแล้วเขาก็ยิ่งรู้สึกลุ่มหลง มีแต่จะโหยหาริมฝีปากของนางตลอดเวลาอย่างไรอย่างนั้น ไม่อยากแยกจากตลอดกาล
แต่เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าค่อยๆ ดังเข้ามาใกล้ และมีคนผลักเปิดประตูเดินเข้ามา เขาถึงผละออกจากริมฝีปากของหลี่หลิงหว่าน ยืดตัวตรงนั่งอยู่บนขอบเตียงให้เรียบร้อย
มีคนเดินอ้อมฉากบังลมมา เป็นโจวซื่อกับไฉ่เวยสาวใช้ข้างกายนาง ยามนี้โจวซื่อมีใบหน้าที่เป็นกังวล
เมื่อหลี่เหวยหยวนเห็นนางเขาก็ลุกขึ้นยืน เอ่ยปากส่งเสียงเรียกท่านอาสะใภ้สามออกมาคำหนึ่ง
โจวซื่อผงกศีรษะให้เขา ก่อนจะย่อกายลงนั่งบนขอบเตียง ยื่นมือออกไปแตะหน้าผากหลี่หลิงหว่าน สัมผัสที่มือยังคงเป็นความร้อนลวกผิวอยู่เช่นเดิม นางจึงถอนหายใจแผ่วเบาคำรบหนึ่งแล้วหันหน้ามาถามหลี่เหวยหยวนอย่างเป็นกังวล “เหตุใดผ่านไปสองวันแล้วหว่านวานยังคงมีไข้สูงไม่ฟื้นขึ้นมาเสียที”
หลี่เหวยหยวนนิ่งเงียบอยู่สักพักจึงเอ่ยปลอบนาง “ตอนนี้หว่านวานดีขึ้นกว่าเมื่อวานมากแล้ว ถึงแม้นางจะหมดสติอยู่ แต่อย่างน้อยก็นอนหลับสนิทกว่าเมื่อวาน เร็วๆ นี้นางน่าจะฟื้นขึ้นมาแล้วขอรับ”
โจวซื่อถอนหายใจแผ่วเบาออกมาอีกครั้ง “ข้าหวังให้นางสามารถฟื้นขึ้นมาได้ในเร็ววัน”
เรื่องในคืนนั้นหลี่เหวยหยวนได้เคยมาหาเสี่ยวซานและสั่งห้ามนางเปิดเผยกับผู้ใดแม้แต่คำเดียวอย่างเข้มงวดเรียบร้อยแล้ว เขาไม่ได้เล่ารายละเอียดชัดเจนอะไรให้เสี่ยวซานฟัง บอกแค่ว่าบริเวณริมสระน้ำปลูกต้นลวี่เอ้อเหมยสีเขียวที่หาได้ยากยิ่งเอาไว้ต้นหนึ่ง ยามนั้นหลี่หลิงหว่านอยากจะไปดูสักหน่อย ทว่าค่ำคืนมืดมิดยากจะมองเห็น หลี่หลิงหว่านไม่ทันระวังจนข้อเท้าแพลง ทั้งยังตากลมริมสระน้ำ หลังกลับมาถึงได้เป็นไข้สูง
เสี่ยวซานไม่สงสัยในคำพูดของหลี่เหวยหยวนเลยแม้แต่น้อย เพราะหลี่หลิงหว่านเคยพูดเรื่องลวี่เอ้อเหมยต้นนั้นต่อหน้านางหลายหนจริงๆ ทั้งเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้นกับคุณหนู นางที่เป็นสาวใช้ข้างกายไม่ได้ติดตามไป หากฮูหยินผู้เฒ่ากับนายหญิงสามรู้เรื่องนี้เข้าจะต้องลงโทษนางอย่างแน่นอน ดังนั้นนางจึงรีบร้อนตอบรับคำพูดของหลี่เหวยหยวนอย่างตะกุกตะกัก เมื่อเผชิญหน้ากับการซักถามของฮูหยินผู้เฒ่ากับนายหญิงสาม นางก็บอกเพียงว่าตอนที่คุณหนูเดินทางกลับจากเรือนของคุณชายใหญ่ไม่ทันระวังจนข้อเท้าแพลง ทั้งยังตากลมอยู่นาน หลังกลับมาแล้วถึงได้หมดสติเช่นนี้
ฮูหยินผู้เฒ่ากับโจวซื่อได้ยินแล้วในใจย่อมรู้สึกโกรธ ไม่อาจละเว้นการดุด่าต่อว่าเสี่ยวซานกับบ่าวรับใช้ทุกคนภายในเรือนอี๋เหออย่างรุนแรงไปหนหนึ่งได้ ทางหนึ่งตำหนิว่าพวกนางไม่ดูแลหลี่หลิงหว่านให้ดี อีกทางหนึ่งก็รีบเร่งเชิญท่านหมอมาตรวจอาการของหลี่หลิงหว่าน จ่ายยา ต้มยา ทำให้ทุกคนภายในเรือนอี๋เหอวุ่นวายทั้งวันทั้งคืน
ในช่วงเวลาสองวันสองคืนนี้ หลี่เหวยหยวนก็ไม่ได้ออกจากเรือนอี๋เหอไปแม้แต่ก้าวเดียว ยามที่เหน็ดเหนื่อยจนถึงขีดสุดเขาก็ทำเพียงหลับตาลงพักผ่อนครู่หนึ่งบนตั่งไม้ริมหน้าต่างเท่านั้น รอจนได้ยินเสียงสะอื้นไห้ด้วยความตกใจของหลี่หลิงหว่านเขาก็จะตื่นขึ้นมาทันที และรีบเร่งเข้าไปปลอบโยนนางเสียงเบา
เดิมทีโจวซื่อก็อยู่ด้วยกันกับเขา เฝ้าหลี่หลิงหว่านอยู่ที่นี่ตลอดทั้งวันทั้งคืน ทว่าต่อมานางทนไม่ไหวแล้วจริงๆ เมื่อคืนตอนกลางดึกถึงได้กลับไปพักผ่อนยังเรือนเหมยเหอคืนหนึ่ง วันนี้แต่เช้าก็เร่งรีบเดินทางมาอีกครั้ง เมื่อเห็นหลี่เหวยหยวนยังคงเฝ้าอยู่ข้างกายหลี่หลิงหว่านเช่นนี้ ในใจนางก็ซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง แล้วก็รู้สึกสบายใจมากเช่นกัน