ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน นิยายเรื่องนี้ข้าไม่ได้เขียน! เล่ม 3 บทที่ 3-4
พูดมาถึงตรงนี้ซวงหงก็คิดถึงสภาพอันน่าอนาถที่ตนเองได้เห็นในยามนั้น นางอดรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาไม่ได้ ฝ่ามือเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น
ฮูหยินผู้เฒ่าถามต่อ “เจ้าได้ตรวจสอบบริเวณรอบๆ โดยละเอียดแล้วหรือยัง มีอะไรผิดปกติหรือไม่”
“บ่าวได้ตรวจสอบทั้งภายในและภายนอกเรือนแล้วเจ้าค่ะ แต่ไม่พบความผิดปกติใด” ซวงหงรีบร้อนรายงาน “ตอนที่บ่าวไปถึง ประตูเรือนยังคล้องแม่กุญแจเอาไว้อยู่ หลังผลักประตูเข้าไป ประตูห้องก็ลงกลอนไว้เช่นกัน เข้าไปในห้องแล้วสามารถมองเห็นนางนอนอยู่บนพื้นได้ในทันที ของอื่นๆ ภายในห้องล้วนไม่มีร่องรอยขยับเขยื้อน คงไม่มีผู้ใดเข้าไปก่อนหน้าเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าจึงผงกศีรษะอย่างช้าๆ จากนั้นในใจก็คิดว่าเดิมทีภายในจวนสกุลหลี่แห่งนี้ก็มีคนที่รู้เรื่องราวของตู้ซื่ออยู่ไม่มาก และเรือนที่ใช้กักขังตู้ซื่อแห่งนั้นตนก็บอกกับคนภายนอกว่าที่นั่นไม่บริสุทธิ์ มีสิ่งอัปมงคลอยู่ กลายเป็นสถานที่ต้องห้ามของจวน โดยปกติแล้วก็ไม่มีผู้ใดกล้าไปที่นั่น นอกจากนี้ตู้ซื่อยังอยู่เพียงลำพัง ไม่มีทางที่ใครจะต้องการของสิ่งใดจากนาง แล้วจะมีผู้ใดไปหาเรื่องทำร้ายนางได้อย่างไร หากเป็นผู้อื่นทำร้ายนางจริงๆ เหตุใดจึงไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้แม้แต่น้อย นี่จะต้องเป็นเพราะตู้ซื่อถูกขังมาหลายปีจนเสียสติไปนานแล้ว เมื่อจู่ๆ คิดไม่ตกขึ้นมาจึงได้โขกศีรษะกระแทกผนังตาย
ในใจฮูหยินผู้เฒ่านั้นไม่มีความรู้สึกผิดใดๆ กลับกันนางยังคิดว่าไม่ว่าจะพูดอย่างไรหลังสกุลตู้เกิดเรื่องในปีนั้น แม้นางจะกักขังตู้ซื่อเอาไว้ แต่สุดท้ายก็ยังเลี้ยงดูอีกฝ่ายมานานถึงยี่สิบปี ยังจะมีสิ่งใดติดค้างตู้ซื่ออีกหรือ ดังนั้นเมื่อได้ยินข่าวการตายของตู้ซื่อ นางก็ทำเพียงโบกมือให้ซวงหง บ่งบอกว่านางรับรู้แล้ว จากนั้นจึงเอ่ยสั่งซวงหง “ส่งคนไปซื้อโลงศพบางๆ มาสักใบหนึ่ง แล้วบรรจุตู้ซื่อลงไปเงียบๆ หาสถานที่สักแห่งขุดหลุมฝังนางลงไปก็พอ ป้ายหลุมศพก็ไม่ต้องตั้ง” ทั้งเอ่ยกำชับซวงหงอย่างเข้มงวด “เรื่องนี้ห้ามให้ผู้อื่นในจวนรับรู้เป็นอันขาด มิฉะนั้นข้าไม่อาจละเว้นเจ้าได้”
ซวงหงรีบร้อนรับคำ ก่อนจะลุกขึ้นจากพื้น ลอบส่งคนไปจัดการเรื่องนี้
ไม่รู้ว่าหลี่ซิวซงรับรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ยามนั้นเขาวิ่งไปยังเรือนที่กักขังตู้ซื่อ แล้วกอดศพตู้ซื่อก้มหน้าร้องไห้อย่างเจ็บปวดรอบหนึ่ง ต่อมาจึงวิ่งมาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่าและวิงวอนต่อนาง ให้ตู้ซื่อสามารถเข้าไปอยู่ในสุสานบรรพชนสกุลหลี่
“ขอท่านแม่ได้โปรดยอมให้อาเหิงถูกฝังอยู่ในสุสานบรรพชนสกุลหลี่ของพวกเราด้วยขอรับ”
‘อาเหิง’ ก็คือชื่อเล่นของตู้ซื่อ
ฮูหยินผู้เฒ่าย่อมไม่อนุญาต “เมื่อยี่สิบปีก่อนได้บอกแก่ภายนอกว่าตู้ซื่อตายไปแล้ว ยามนั้นได้ยกโลงศพโลงหนึ่งเข้าไปฝังเรียบร้อย ตอนนี้จะให้นางเข้าไปอีกได้อย่างไร ถือเป็นการรบกวนบรรพบุรุษ เจ้าทำเช่นนี้เป็นการไม่เคารพยิ่ง”
“แต่โลงศพในปีนั้นว่างเปล่า” หลี่ซิวซงร้องขออย่างทุกข์ตรม “ไม่ว่าอย่างไรอาเหิงก็เป็นภรรยาร่วมผูกผมของข้า นางแต่งเข้ามาในจวนสกุลหลี่หลายปีขนาดนี้ไม่เคยได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขมาก่อน ตอนนี้นางไม่อยู่แล้ว ขอท่านแม่ได้โปรดเห็นแก่ความลำบากที่นางได้รับตลอดหลายปีนี้ เชิญภิกษุชั้นสูงมาทำพิธีสวดมนต์ให้นาง และมอบพิธีฝังศพอย่างสง่าผ่าเผยให้แก่นาง ให้นางได้เข้าไปอยู่ในสุสานบรรพชนเถิดขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธขึ้นมาทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ นางยื่นมือออกไปตบลงบนโต๊ะข้างตัวเสียงดัง โกรธจนใบหน้าเขียวคล้ำ “เจ้าใหญ่ ประโยคนี้ของเจ้าหมายความว่าอย่างไร อะไรเรียกว่านางแต่งเข้ามาในจวนสกุลหลี่หลายปีขนาดนี้ไม่เคยได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขมาก่อน นี่เป็นการตัดพ้อใครกัน ตัดพ้อข้าอย่างนั้นหรือ ปีนั้นใครใช้ให้บิดานางหาเรื่องตายด้วยการไปมีเรื่องกับใต้เท้าหวังเล่า ถึงขั้นเกือบทำให้บิดาเจ้าต้องลำบากไปด้วย หากไม่ใช่ยามนั้นบิดาของนางหาเรื่องตาย ยามนี้นางก็ยังเป็นสะใภ้คนโตสกุลหลี่ของพวกเราเหมือนเดิม จะมาตกอยู่ในสภาพเช่นวันนี้ได้อย่างไร”
หลี่ซิวซงเอาแต่ร้องไห้อย่างเจ็บปวด พร้อมกับโขกศีรษะให้ฮูหยินผู้เฒ่าไม่หยุดและร้องขอนาง “ข้า…ข้าปวดใจยิ่งนัก ขอท่านแม่ได้โปรดยอมให้อาเหิงได้จากไปอย่างเหมาะสมด้วย ไม่เช่นนั้นหากวันหน้าข้าตายไปก็คงไม่มีหน้าไปพบนางในปรโลกอีกแล้ว”
หลี่ซิวซงอายุสี่สิบกว่าปีแล้ว เดิมทีจิตใจของเขาก็เก็บกดมานานหลายปีจนทำให้เรือนผมเริ่มขาว ยามนี้มารับรู้เรื่องการตายของตู้ซื่ออีก ในเวลาอันสั้นเรือนผมเขาก็ยิ่งมองดูขาวมากขึ้น
ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นบุตรชายแท้ๆ ของตนเอง เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเห็นท่าทางเช่นนี้ของเขา ในใจจึงเกิดความรู้สึกทนไม่ได้ขึ้นมาหลายส่วน
“ช่างเถอะๆ” นางถอนหายใจยาวแล้วโบกมืออย่างอ่อนล้า “ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่กล้าไปรบกวนบรรพบุรุษง่ายๆ ดังนั้นเรื่องที่ขอให้นางเข้าไปอยู่ในสุสานบรรพชนสกุลหลี่ของพวกเราเจ้าไม่ต้องพูดอีกแล้ว แต่เจ้าสามารถไปเตรียมการพิธีศพให้นางด้วยตนเองได้ จะเชิญภิกษุชั้นสูงมาทำพิธีสวดมนต์ก็ดี หรือจะซื้อโลงศพราคาแพงมาให้นางก็ช่าง ข้าล้วนไม่สนใจ แต่ขอแค่สองเรื่อง หนึ่งคือพิธีศพของนางไม่อาจกระทำภายในจวนของพวกเราเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นผู้คนในจวนจะมองเช่นไร ผู้อื่นรับรู้แล้วจะมองเช่นไร ส่วนเรื่องที่สอง สถานะของนางไม่อาจเปิดเผยออกมาได้ ป้ายหลุมศพเองก็ไม่อาจแกะสลักคำว่า ‘ตู้ซื่อสกุลหลี่’ ลงไป ยิ่งไม่อาจแกะสลักชื่อของเจ้ากับหยวนเกอเอ๋อร์ เดือนหน้าหยวนเกอเอ๋อร์ต้องเข้าร่วมการสอบฮุ่ยซื่อแล้ว หากยามนี้ให้ผู้อื่นรับรู้ว่ามารดาแท้ๆ ของเขาตาย เขาไม่ต้องไว้ทุกข์ไปถึงสามปีหรอกหรือ ถึงตอนนั้นเจ้าจะให้เขาเข้าร่วมการสอบฮุ่ยซื่อในเดือนหน้าได้อย่างไร”
ฮูหยินผู้เฒ่าหันไปสั่งซวงหง “ข้าเองก็ล้ามากแล้ว เจ้าส่งนายท่านใหญ่กลับไปเถอะ”
ซวงหงไม่กล้าไม่ฟัง นางทำได้เพียงเดินขึ้นหน้าไปเอ่ยกับหลี่ซิวซงเสียงเบา “นายท่านใหญ่ ให้บ่าวส่งท่านกลับเถอะเจ้าค่ะ”
เดิมทีหลี่ซิวซงยังหมอบราบอยู่บนพื้น แต่พอได้ยินเช่นนี้เขาก็ผุดลุกขึ้นยืนกะทันหัน ทั้งไม่ร้องไห้อีกแล้ว กลับจ้องเขม็งไปที่ฮูหยินผู้เฒ่าแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ท่านแม่ วันนี้ข้าถึงได้เข้าใจ ที่แท้ท่านก็เป็นคนใจคออำมหิตคับแคบผู้หนึ่ง ส่วนข้าก็เป็นคนอ่อนแอไร้ความสามารถเช่นนี้ ถึงกับทำให้ภรรยาร่วมผูกผมกับบุตรชายคนโตของตนเองถูกหยามหมิ่นมาหลายปีขนาดนี้ ข้าผิดต่ออาเหิง ผิดต่อหยวนเกอเอ๋อร์ ข้าไม่คู่ควรจะเกิดมาเป็นคน วันหน้าในปรโลก ข้าไม่มีหน้าไปพบอาเหิงอีกแล้ว”