ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน นิยายเรื่องนี้ข้าไม่ได้เขียน! เล่ม 3 บทที่ 3-4
กล่าวมาถึงตรงนี้เขาก็ไปจากเรือนซื่ออันโดยไม่มีการหันหน้ากลับมา
ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธจนใบหน้าบิดเบี้ยว ตัวสั่นระริกไปทั้งร่าง
“ลูกทรพี! เจ้าลูกทรพี! เพียงเพื่อสตรีผู้หนึ่งถึงกับกล่าวตำหนิมารดาตนเองเช่นนี้ ข้าจะดูว่าวันหน้าเขายังจะมีหน้ากลับมาพบข้าอีกหรือไม่”
กล่าวจบฮูหยินผู้เฒ่าก็หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้องอุ่นที่อยู่ข้างในอย่างกรุ่นโกรธ แต่ยังคงรู้สึกโมโหจนสงบใจไม่ลง นางจึงหาเหตุผลบางอย่างมาตำหนิต่อว่าสาวใช้ไปสองคน ถึงค่อยสลายโทสะที่อยู่ในใจลงไปได้บ้าง
หลังหลี่ซิวซงกลับมายังเรือนที่ตนพักแล้ว เขาก็ตามหาสวีซื่อเพื่อขอเงิน สวีซื่อถามว่าเขาต้องการเงินไปใช้ทำอะไร เขาก็เอาแต่ตาแดงก่ำโดยไม่ตอบกลับ ทำเพียงยืนกรานขอให้นางนำเงินสองพันตำลึงออกมา
สวีซื่อจึงเอ่ยด่า “ท่านเสียสติไปแล้วหรือ เรื่องใหญ่ใดที่คุ้มค่าพอให้ท่านต้องการเงินถึงสองพันตำลึงหรือ ข้าไม่มีหรอก”
หลี่ซิวซงจึงเอ่ย “เงินรายเดือนทุกเดือนของข้าล้วนให้เจ้าเป็นผู้เก็บ ทุกครั้งเมื่อถึงสิ้นปี ส่วนที่ร้านค้ากับหมู่บ้านส่งมา ทุกๆ บ้านต่างก็ได้รับส่วนแบ่ง ที่เรือนนี้ล้วนเป็นเจ้าที่เก็บเอาไว้ ปกติข้าก็ไม่เคยมาขอเงินจากเจ้าแม้แต่นิดเดียว เหตุใดเจ้าจึงนำเงินสองพันตำลึงออกมาไม่ได้เล่า รีบนำออกมา ข้ารีบใช้”
“ท่านช่างละโมบโลภมากเสียจริง” สวีซื่อด่าทอเขา “แม้ท่านจะมีเงินรายเดือนทุกเดือนก็จริง แต่จะมีสักกี่ตำลึงกันเชียว ต่อให้สิ้นปีจะมีส่วนแบ่ง แต่ในอนาคตเหลียงเกอเอ๋อร์ยังต้องแต่งภรรยา เจียวเจี่ยเอ๋อร์ก็ต้องแต่งออกไป งานพวกนั้นไม่ต้องใช้เงินหรือ บิดาเช่นท่านก็ไร้ความสามารถ หลายปีมานี้ไม่เคยหาเงินมาได้เลยสักตำลึงเดียว ทำได้เพียงอาศัยสมบัติตระกูลยังชีพ ทว่ามารดาอย่างข้าไม่อาจไม่คิดเผื่อถึงอนาคตของบุตรชายบุตรสาว ตอนนี้ท่านมาถามหาเงินทองกับข้า จะให้ข้าไปหาเงินมาให้ท่านได้จากที่ใด ไม่มีแม้แต่ตำลึงเดียว!”
ด่าทอจบแล้วปากก็ยังบ่นจู้จี้จุกจิกอย่างดูแคลนต่อ “หากท่านสามารถเป็นดั่งน้องสามได้ล่ะก็ รับตำแหน่งขุนนางใหญ่โตสักตำแหน่ง ทุกเดือนๆ ล้วนมีเงินเดือนมาให้ข้า ไม่พูดว่าตอนนี้ท่านต้องการเงินสองพันตำลึง ต่อให้ท่านต้องการสองหมื่นตำลึง ข้าก็จะหยิบออกมาให้ท่านโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ทว่ายามนี้น่ะหรือ เพ้ย! ท่านมีหน้าอะไรมาขอเงินจากข้าเล่า”
หลี่ซิวซงได้ยินแล้วพลันรู้สึกว่าในอกเกิดคลื่นอารมณ์หนึ่งพุ่งสูงไปถึงสมอง กระแทกจนสองหูของเขาเกิดเสียงก้องกังวานไม่หยุด
ดังนั้นเขาจึงเงื้อมือขึ้นสูงแล้วสะบัดมือตวัดผ่านบ้องหูสวีซื่อลงไปอย่างรุนแรง
เมื่อก่อนตู้ซื่อไม่เคยพูดจาเช่นนี้กับเขามาก่อน ต่อให้เขาล้มเหลวในการสอบอยู่หลายครั้ง กระทั่งการสอบถงซื่อก็ยังไม่ผ่าน แต่ตู้ซื่อกลับเอ่ยกับเขาอย่างอ่อนโยนว่า ‘ไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านพี่ ข้าเชื่อว่าวันหน้าท่านจะต้องสอบผ่านได้อย่างแน่นอน ไม่จำเป็นต้องร้อนใจไป’
ยามนั้นขอเพียงเขาต้องออกจากจวน ตู้ซื่อก็มักใส่เงินให้เขาจนเต็มถุง เขาบอกว่าไม่ต้องการมากมายขนาดนั้น แต่ตู้ซื่อก็ยิ้มเอ่ย ‘ท่านพี่เป็นบุรุษสูงศักดิ์ ออกไปข้างนอกคบค้าสมาคมกับสหายจะไม่มีเงินติดกายได้อย่างไร จะทำให้ผู้อื่นเขาดูแคลนเอาได้ ท่านพี่ไม่ต้องกังวล นอกจากเงินส่วนที่ให้ท่านพี่ใช้จ่ายเหล่านี้แล้ว พวกเรายังนับว่ามีเงินเหลืออยู่เจ้าค่ะ’
ทั้งที่เขามีภรรยาที่อ่อนโยนเอาใจใส่เช่นนี้แล้วแท้ๆ แต่เป็นเพราะความอ่อนแอไร้ความสามารถของเขาเองจึงไม่ได้ปกป้องนางให้ดี ปล่อยให้บิดากับมารดาปฏิบัติต่อนางเช่นนั้นในปีนั้น ต่อมาเขายังเชื่อฟังคำพูดของพวกเขากระทั่งแต่งสวีซื่อเข้ามา
และสวีซื่อก็ถูกฝ่ามือนี้ของเขาตบจนมึนงงแล้ว ก่อนที่นางจะมีอาการตอบสนองกลับมา พุ่งศีรษะเข้าชนกับอกของเขา ทั้งยังยื่นมือออกไปข่วนที่ใบหน้า ชั่วขณะนั้นใบหน้าของหลี่ซิวซงก็เกิดรอยเลือดสองรอยขึ้นมาทันที จากนั้นสวีซื่อยังร้องไห้ตวาดด่า “เจ้าถึงกับกล้าตบข้า?! สวะเช่นเจ้าถึงกับกล้าตบข้า?! ข้าจะกลับบ้านไปฟ้องท่านพ่อกับพี่น้องข้า ให้พวกเขามาจัดการเจ้าเรื่องนี้”
ระยะนี้บิดากับพี่น้องของสวีซื่อก็ค่อยๆ มีอำนาจในราชสำนักขึ้นมา ดังนั้นนางจึงไม่เกรงกลัวหลี่ซิวซงอีก ยามปกติในคำพูดก็มักจะแฝงไปด้วยการข่มขู่หลี่ซิวซง
ทว่าวันนี้หลี่ซิวซงรู้สึกว่าตนเองไม่เกรงกลัวสิ่งใดอีกแล้ว
เขาเงื้อมือขึ้นสูงแล้วสะบัดมือตวัดผ่านบ้องหูสวีซื่ออย่างรุนแรงอีกครั้ง ตบจนสวีซื่อโซซัดโซเซถอยหลังไปกระแทกเข้ากับโต๊ะน้ำชาล้มลง ก่อนที่หลี่ซิวซงจะตวาดเสียงดัง “ข้ากลัวเจ้าหรือ ข้าขอบอกเจ้าไว้เลย ตอนนี้ข้าไม่กลัวผู้ใดทั้งนั้น เจ้าไปเลย ไปบอกท่านพ่อกับบรรดาพี่น้องของเจ้า ถึงยามนั้นข้าจะมอบหนังสือหย่าให้เจ้าต่อหน้าพวกเขา ให้เจ้าไสหัวไปได้เลย!”
สวีซื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ในใจก็เกิดความกลัวขึ้นมาหลายส่วน นางนั่งอยู่บนพื้น ทางหนึ่งทุบพื้น อีกทางชี้มือไปที่เขาพลางร้องไห้ตวาดด่า “ดี ดียิ่ง ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะอยากหย่ากับข้า ข้าทำผิดอะไรเจ้าถึงต้องการหย่ากับข้า นับตั้งแต่ข้าแต่งให้เจ้า หลายปีมานี้ข้าได้รับความลำบาก ชีวิตคิดถึงแต่เจ้ากับลูกๆ เท่านั้น ยามปกติเจ้าเคยเอาใจใส่ข้าสักนิดหรือไม่ ตอนนี้กลับดีนัก เจ้าบอกว่าต้องการหย่ากับข้า ข้าขอบอกกับเจ้าไว้เลย ต่อให้วันนี้ศีรษะข้าต้องกระแทกตายอยู่ที่นี่ ข้าก็จะไม่ออกจากประตูจวนสกุลหลี่แห่งนี้ของพวกเจ้า ถึงตอนนั้นก็รอดูท่านพ่อกับพี่น้องของข้ายกศพข้ามาหาเจ้า ให้เจ้าไปพบเจ้าหน้าที่ มีความผิดโทษฐานบังคับให้ภรรยาฆ่าตัวตาย เจ้าจะได้ติดคุกไปตลอดชีวิต”
กล่าวจบนางก็พยุงกายลุกขึ้นมา ต้องการจะพุ่งตัวไปกระแทกผนัง สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างเห็นแล้วรีบร้อนเข้ามากอดนางเป็นพัลวัน กระทั่งสวีซื่อเลิกดิ้นรนที่จะพุ่งไปกระแทกผนังอีก นางก็นั่งลงบนพื้นในสภาพที่ดูไม่ได้ ทางหนึ่งร่ำไห้อย่างรวดร้าวจนน้ำหูน้ำตาไหล อีกทางก็ชี้นิ้วไปที่หลี่ซิวซงพลางสบถด่าไม่หยุด
ก่อเรื่องวุ่นวายขนาดนี้ขึ้นมา คนอื่นๆ ต่างรับรู้กันนานแล้ว ยามนี้เฉียนซื่อของบ้านรองก็เร่งรีบมาดูสถานการณ์ หลี่เหวยเหลียงกับหลี่หลิงเจียวเองก็รีบมา
เมื่อเห็นสองแก้มของสวีซื่อมีรอยนิ้วมือทั้งห้าประทับแดงอยู่ นั่งร้องไห้อยู่บนพื้นด้วยสภาพที่น้ำตานองหน้า ผมเผ้ายุ่งเหยิง หลี่หลิงเจียวก็รู้สึกปวดใจแทนมารดาของตนเอง นางจึงรีบพุ่งเข้าไปกอดสวีซื่อและร่วมร้องไห้ด้วยกัน ขณะที่ร้องไห้ยังเอ่ยซักถามหลี่ซิวซงไปด้วย “ท่านพ่อ ท่านแม่ทำผิดอะไรกันแน่ ถึงกับทำให้ท่านต้องลงมือตบตีนางเช่นนี้ ท่านพูดออกมาสิ”
เฉียนซื่อเข้าไปดึงตัวสวีซื่อขึ้นมาด้วยท่าทีที่เสแสร้ง ก่อนจะเอ่ยเกลี้ยกล่อม “พี่สะใภ้ ท่านเป็นอะไรไป ต่อให้พี่ใหญ่เลอะเลือน แต่อย่างไรท่านก็เป็นเจ้านาย ก่อเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ต่อหน้าบ่าวรับใช้เต็มห้อง ยังจะเหลือหน้าตาอะไรอีก ท่านรีบลุกขึ้นมาเถอะ”
สวีซื่อร้องไห้เอ่ย “ข้าจะยังต้องการหน้าตาไปทำไมอีก วันนี้ยอมเสียหน้าตานี้ไปเสียยังดีกว่า ทะเลาะกันให้จบๆ ไปเสียเลย หากไม่สมควรก็ให้เขามอบหนังสือหย่าให้ข้าเสียแต่ตอนนี้ ข้าจะไม่พูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว ทั้งจะจากไปทันที”
สวีซื่อยื่นมือไปโอบกอดหลี่หลิงเจียวพลางร้องไห้เอ่ย “ข้าเพียงแต่ตัดใจจากเจียวเจียวของข้าไม่ได้ หากแม่ไปแล้ว ท่านพ่อเจ้าแต่งผู้อื่นเข้ามาใหม่อีกครั้ง ผู้คนต่างกล่าวว่าหมัดของแม่เลี้ยงดั่งแสงอาทิตย์แผดเผา ทั้งยังบอกว่าเมื่อมีแม่เลี้ยงก็ย่อมมีพ่อเลี้ยง ถึงยามนั้นจะให้เจียวเจียวของข้าพึ่งพาผู้ใดได้อีก ลูกสาวที่น่าสงสารของข้า”
เมื่อได้ยินมารดาพูดเช่นนี้ หลี่หลิงเจียวก็ยิ่งร้องไห้หนักมากกว่าเดิม สองแม่ลูกต่างพากันกอดคอร่ำไห้
ชั่วขณะนั้นเฉียนซื่อก็หลั่งน้ำตาออกมาอย่างทนไม่ได้ บรรดาสาวใช้ภายในห้องต่างพากันก้มหน้าไม่พูดจา
หลี่ซิวซงโกรธจนหน้าตาถมึงทึงไปนานแล้ว ยามนั้นเขากระทืบเท้าอย่างรุนแรงคราหนึ่ง ไม่พูดอะไรอีกก็หมุนตัวเดินจากไป
หลี่ซิวซงใคร่ครวญแล้วก็เดินไปยังห้องหนังสือ นำของที่เขาได้รับตลอดหลายปีนี้มาใส่ห่อบรรจุ เรียกบ่าวรับใช้สองคนมาถือไป นำไปยังโรงรับจำนำแลกเงินมาได้หลายร้อยตำลึง จากนั้นจึงส่งคนไปซื้อโลงศพเนื้อดีมาใบหนึ่ง และเคลื่อนศพตู้ซื่อออกไปที่วัดแห่งหนึ่ง ซื้ออาภรณ์กับเครื่องประดับชั้นเลิศให้นางสวมใส่ ก่อนบรรจุนางลงโลง ทั้งยังตามหาภิกษุชั้นสูงสิบหกรูปมาสวดมนต์ทำพิธีให้นาง ซ้ำยังซื้อที่ดินแห่งหนึ่ง ฝังนางลงไปอย่างดี
เขาอยู่เคียงข้างโลงศพของตู้ซื่อมาตลอดพิธี สวมชุดไว้ทุกข์ร่ำไห้โอดครวญตลอดทั้งวันทั้งคืน เอ่ยยอมรับผิดต่อตู้ซื่อ บอกว่าเป็นความอ่อนแอไร้ความสามารถของตนเองที่ทำร้ายนาง จวบจนฝังร่างตู้ซื่อแล้วเขาก็หาวัดที่ห่างไกลแห่งหนึ่งโกนผมออกบวชเป็นภิกษุ มีแค่เคยไปแอบมองหลี่เหวยหยวนตอนที่สอบฮุ่ยซื่อผ่านอยู่ครั้งหนึ่ง และนับแต่นั้นมาหลี่ซิวซงก็ไม่เคยกลับไปยังจวนสกุลหลี่อีกเลยแม้แต่ก้าวเดียว
จนถึงช่วงบั้นปลายชีวิตเขาก็เป็นโรคปอด มีอาการไอไม่หยุดทั้งวันทั้งคืน กระนั้นเขาก็ยังไม่ยอมกลับบ้านอยู่ดี ทว่าเขาเป็นเพียงภิกษุยากจนรูปหนึ่งเท่านั้น จะหาเงินจากที่ใดไปหาหมอหรือซื้อยา เขาทำได้เพียงทุกข์ทรมานกับอาการของโรคไปเท่านั้น ฝืนทนจนตอนหลังทุกครั้งที่เขาไอจะมีเลือดปนออกมาด้วย ความเจ็บปวดทรมานนั้นคงมีเพียงเขาคนเดียวที่เข้าใจ
แต่เมื่อเขาไอทั้งวันทั้งคืนเช่นนี้ ภิกษุร่วมวัดรูปอื่นย่อมไม่เก็บเขาเอาไว้อีก ด้วยเกรงว่าเขาจะแพร่เชื้อ ดังนั้นจึงมีภิกษุหลายรูปรวมตัวประชุมกัน ก่อนจะอาศัยช่วงคืนเดือนดับคืนหนึ่งใช้ถุงกระสอบสวมหัวเขาแล้วนำไปโยนทิ้งไว้ในภูเขาลึก ปล่อยให้เขาสิ้นชีวิตไปเอง
หลี่ซิวซงเป็นชายชราผู้หนึ่ง ทั้งยังเป็นโรคปอด แค่ขยับตัวยังแทบไม่ไหว เขายังจะทำอะไรได้อีก สุดท้ายก็ทำได้เพียงหาถ้ำใกล้ๆ และนอนอยู่ในนั้นเพื่อรอความตาย
ในระหว่างที่รอความตายเขาก็ย้อนคิดถึงชีวิตของตนเองในชาตินี้ ก่อนจะคร่ำครวญร้องไห้ออกมาหลายหน ทั้งยังคิดไปว่าตนเองติดค้างต่อตู้ซื่อมากมายนัก แม้ครึ่งชีวิตที่เหลือล้วนกินมังสวิรัติและสวดมนต์ ภาวนาให้นางตลอดทั้งวันทั้งคืน แต่เมื่อไปถึงปรโลกแล้วเขาก็คงไม่มีหน้าไปพบนางอีก ดังนั้นเขาจึงยกมืออันสั่นเทาหยิบผ้าเช็ดหน้าสีฟ้าผืนหนึ่งออกมาจากสาบเสื้อ แล้ววางปิดไว้บนใบหน้าตนเอง
ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้เป็นของเก่าที่เมื่อก่อนตู้ซื่อเคยใช้ หลายปีมานี้เขาพกติดกายเอาไว้ตลอดเวลา ไม่เคยให้อยู่ห่างกายมาก่อน ยามนี้เมื่อวางผ้าเช็ดหน้าเอาไว้บนหน้า คล้ายกลิ่นหอมจางๆ ยังคงมีเหมือนเก่า เบื้องหน้าสายตาเป็นคืนแต่งงานของเขากับตู้ซื่อในปีนั้น เขายื่นมือออกไปเลิกผ้าคลุมสีแดงบนศีรษะตู้ซื่อ นางเงยหน้ามองเขาแล้วยิ้ม…ช่างงดงามเฉิดฉายหาใดเปรียบ
(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 16 ก.ค. 62)