หลี่หลิงหว่านมองเห็นสตรีผู้หนึ่งยืนอยู่ที่ด้านข้างตะเกียงน้ำมัน ปล่อยผมยาวสยาย สีหน้าซีดขาวเฉกเช่นคนที่ไม่ได้พบเจอแสงแดดมาเป็นเวลานาน ทว่าดวงตาของสตรีผู้นั้นกลับสว่างไสวยิ่ง ราวกับเป็นนกที่หากินยามค่ำคืนอย่างไรอย่างนั้น หากได้พบเห็นกะทันหันในยามราตรี มีแต่ชวนให้ผู้คนรู้สึกหวาดหวั่นขวัญผวา
หลี่หลิงหว่านเองก็ตกใจอย่างเห็นได้ชัด นางหัวใจกระตุก ก้าวโซเซถอยหลังไปสองก้าวทันที แผ่นหลังแนบสนิทเข้ากับประตูไม้บานหนึ่ง ผ่านไปสักพักนางถึงได้ฝืนบังคับยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มฝืดเฝื่อน เปิดปากเอ่ยทักทายสตรีผู้นั้นเสียงสั่น “ตู้…ตู้ซื่อ คะ…คารวะเจ้าค่ะ”
ตู้ซื่อ หรือก็คือมารดาแท้ๆ ของหลี่เหวยหยวน ภรรยาร่วมผูกผมของหลี่ซิวซง ยามนี้นางเดินเข้ามาอย่างไร้สุ้มเสียงราวกับแมว ถือตะเกียงน้ำมันในมือส่องดูหลี่หลิงหว่าน สังเกตอยู่สักพักนางก็เอ่ยอย่างเนิบช้า “เสื้อบุซับในทำมาจากผ้าต่วนหังโจว กระโปรงทำมาจากผ้าไหมหังโจว เครื่องประดับบนศีรษะไม่ใช่ทองคำก็หยก มองจากสีแล้วก็เนื้องามเป็นอย่างยิ่ง เจ้าจะต้องไม่ใช่สาวใช้ภายในจวนสกุลหลี่แห่งนี้แน่ๆ แต่เป็นคุณหนูของจวนสกุลหลี่แห่งนี้ เพียงแต่เหตุใดคุณหนูของจวนสกุลหลี่ถึงได้รับรู้การมีอยู่ของสถานที่ที่แสนจะห่างไกลราวกับหลุมศพคนเป็นแห่งนี้ได้เล่า ทั้งยังเดินเข้ามาได้โดยไร้อุปสรรค ประตูเรือนด้านนอกไม่ได้ใส่กุญแจไว้หรือไร ซ้ำยังเปิดปากเรียกข้าว่าตู้ซื่ออีก ฮ่าๆ หญิงแก่ผู้นั้นแทบอยากจะล้างเรื่องทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับข้าภายในจวนสกุลหลี่แห่งนี้ไป จะยอมให้คุณหนูในจวนรับรู้ถึงการมีอยู่ของข้าได้หรือ ว่าแต่เจ้าเป็นใครกันแน่ มาหาข้าด้วยเรื่องอันใด”
ต่อมานางก็ไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “คนเช่นข้านี้จะอยู่หรือตายก็ไม่ต่างกัน ข้าเองไม่มีอะไรให้เจ้าใช้ประโยชน์ได้”
ความรู้สึกในตอนนี้ของหลี่หลิงหว่านมีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือ…เวรกรรมจริงๆ เหตุใดถึงได้สร้างตัวละครแต่ละตัวออกมาฉลาดเช่นนี้ ตู้ซื่อผู้นี้พูดไปแล้วก็ถูกกักขังมาเกือบยี่สิบปี ทว่าเพียงมองนางครั้งเดียวก็ยังคงชี้แจงสถานะของนางออกมาได้อย่างละเอียดขนาดนี้ ซ้ำยังไม่ผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว
ที่สำคัญที่สุดคือดวงตาของตู้ซื่อสว่างไสวเกินไปแล้วจริงๆ ทำให้หลี่หลิงหว่านเกิดภาพลวงตา ราวกับกำลังมองนกเค้าแมวในยามค่ำคืนอย่างไรอย่างนั้น มองดูแล้วชวนให้รู้สึกขวัญผวาเป็นที่สุด
หลี่หลิงหว่านลอบกลืนน้ำลาย ก่อนจะยิ้มแห้งๆ เอ่ยอย่างนอบน้อม “ฮูหยินช่างร้ายกาจนัก สุดท้ายข้าก็ถูกท่านมองออกจนหมด”
“เลิกพูดอะไรไร้สาระพวกนั้นสักที บอกมาตามตรงว่าเจ้าเป็นใคร มาหาข้าทำไม หากยังไม่พูดระวังข้าจะเล่นงานเจ้า!” ตู้ซื่อกล่าวจบ หลี่หลิงหว่านก็เห็นแสงสีขาวแวบหนึ่งจากในมือตู้ซื่อ ขณะที่นางเพ่งมองก็เห็นว่าของสิ่งนั้นคือเศษกระเบื้องสีขาวที่ขอบของมันถูกลับจนแหลมคมยิ่งชิ้นหนึ่ง
ดูท่าตอนที่บ่าวรับใช้มาส่งอาหารให้นั้นตู้ซื่อคงจงใจทำชามแตก จากนั้นก็แอบเก็บเศษกระเบื้องชิ้นหนึ่งเอาไว้ ทั้งยังลับเสียจนคมกริบ และขอบของเศษกระเบื้องก็ยังมีรอยเลือดที่แห้งกรังอยู่ นี่มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นรอยเลือดของหลี่เหวยหยวน
เจ้าคนเสียสติผู้นี้! เจ้าถึงกับใช้เศษกระเบื้องที่แหลมคมขนาดนี้มาทำร้ายหลี่เหวยหยวน! มิน่าเมื่อครู่ตอนที่ข้าทายาให้หลี่เหวยหยวนจึงเห็นหลังมือข้างซ้ายของเขามีก้อนเนื้อก้อนหนึ่งถูกเฉือนออกไปก้อนใหญ่ กลายเป็นแผลใหญ่
หลี่หลิงหว่านยืดตัวตรงขึ้นมาทันที ก่อนสบถด่าอย่างโกรธเคือง “เจ้าเป็นบ้าไปแล้ว? ถึงกับใช้ของเช่นนี้มาทำร้ายมือลูกชายแท้ๆ ของเจ้า เฉือนเนื้อก้อนหนึ่งของเขาออกมาทั้งเป็นเช่นนี้ เหตุใดเจ้าไม่ใช้มีดปาดคอเขาในคราวเดียวเสียเลยเล่า เขาจะได้ไม่ต้องมารับโทษทัณฑ์เช่นนี้จากเจ้าอยู่บ่อยๆ”
เมื่อตู้ซื่อได้ยินก็ชะงักไป จากนั้นจึงหลุดหัวเราะออกมาเสียงดังราวกับเสียสติไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น “ลูกชายของข้า? ลูกชายของข้า? หืม เหตุใดเจ้าถึงได้เป็นห่วงเจ้าลูกโสโครกมากขนาดนี้ หรือว่าเจ้าเป็นภรรยาของเขา แต่ข้าไม่เคยได้ยินเจ้าลูกโสโครกนั่นบอกว่าเขาแต่งงานแล้ว มิหนำซ้ำทรงผมของเจ้าก็ไม่ได้เกล้าเป็นมวยแบบสตรีที่แต่งงานแล้ว ยังคงเป็นแค่คุณหนูผู้หนึ่ง พูดมา เจ้าเป็นใครกันแน่ เหตุใดถึงได้เป็นห่วงเจ้าลูกโสโครกมากขนาดนี้”
หลี่หลิงหว่านไม่ตอบ แต่ยังคงมองไปที่ตู้ซื่อแล้วเอ่ยเสียงเย็น “แต่ละคำที่เรียกลูกชายตนเองว่า ‘เจ้าลูกโสโครก’ เช่นนี้ เจ้าคิดว่าในใจเจ้ารู้สึกสบายขึ้นแล้วหรือ หากไม่ชอบเขา ตอนแรกที่เจ้าตั้งครรภ์เขาก็สามารถหาหนทางทำให้เขาไม่ต้องเกิดมาก็ได้นี่ เหตุใดจะต้องคลอดเขาออกมาด้วย ตอนนั้นเจ้าคงอยากอาศัยเขาที่อยู่ในท้องหวนคืนกลับมายังจวนสกุลหลี่แห่งนี้กระมัง จะได้ยืนได้อย่างมั่นคงในจวนสกุลหลี่ แต่สุดท้ายเจ้าก็พบว่าใช้ประโยชน์จากเขาไม่ได้ เจ้ายังคงถูกฮูหยินผู้เฒ่าส่งมาอยู่ที่นี่อย่างใจจืดใจดำ ในใจเจ้าจึงเกลียดเขากระมัง