บทที่สี่
หลี่หลิงหว่านเริ่มฝันอีกแล้ว เป็นความฝันเดิมที่คอยรบกวนนางมาโดยตลอดตั้งแต่นางข้ามมิติมา
ช่วงตงจื้อ วันที่หิมะตกหนัก ณ วัดร้าง ปลายลิ้นปวดแสบ หน้าท้องปวดจนตัวบิดงอ หลี่เหวยหยวนที่ยืนอยู่ด้านข้างมองดูนางด้วยแววตาเย็นชาอำมหิต
ในความมึนงงนางคืบคลานเข้าไปและยื่นมือไปคว้าขาของหลี่เหวยหยวนเอาไว้ หลังจากถูกตัดลิ้นนางก็พูดจาได้ไม่ชัด ทำได้เพียงเรียกเขาว่าพี่ชายอย่างอู้อี้ นอกจากหลี่เหวยหยวนจะไม่สนใจนางแม้แต่น้อยแล้ว เขายังเตะร่างนางที่ยื่นมือออกไปหาเขาอย่างรุนแรง รสคาวหวานพลันแผ่กระจายทั่วทั้งปาก มีเลือดสดๆ ไหลลงมาจากมุมปากนางแล้วหยดลงบนพื้น สีแดงเข้มเสียดแทงสายตา
ในความมึนงงภาพเหตุการณ์ได้เปลี่ยนไปกะทันหัน กลายเป็นร่างของตู้ซื่อนอนอยู่ท่ามกลางกองเลือด ดวงตาที่เต็มไปด้วยความเดียดฉันท์กำลังจ้องเขม็งมาที่นาง นางกลัวจนอยากจะกรีดร้อง แต่ในลำคอเหมือนถูกของบางอย่างอุดกั้นเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น กระทั่งนางไม่อาจส่งเสียงใดๆ ออกมาได้ จากนั้นก็เห็นตู้ซื่อลุกขึ้นมายืนอย่างกะทันหันด้วยใบหน้าซีดเผือด เลือดบนหน้าผากยังไหลรินไม่หยุด แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ตู้ซื่อก็ยังยื่นมือพลางเดินตรงมาที่นางทีละก้าวๆ พร้อมกับส่งเสียงร้องโหยหวนออกมา “คืนชีวิตข้ามา คืนชีวิตข้ามา”
หลี่หลิงหว่านตกใจจนตัวสั่นไปทั้งร่าง นางอยากจะวิ่งหนี แต่สองขาราวกับถูกผูกไว้ด้วยของหนักอย่างไรอย่างนั้น ประหนึ่งหนักนับหมื่นชั่ง ขยับไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว นางทำได้เพียงมองดูตู้ซื่อเดินเข้ามาหา ยื่นสองมือมาบีบคอนาง แล้วค่อยๆ ออกแรงบีบแน่นขึ้นเรื่อยๆ
หลี่หลิงหว่านตกใจจนร้องไห้โฮ ทางหนึ่งร้องไห้ อีกทางยังวิงวอนตู้ซื่ออย่างร้อนรน “ไม่นะ! อย่า ข้าไม่อยากตาย ข้ายังไม่อยากตาย!”
นางร้องไห้ออกมาจนรู้สึกว่าร่างกายแทบจะหอบหายใจไม่ทันอยู่แล้ว ในความสะลึมสะลือราวกับมีคนเรียกนางอย่างร้อนรนว่าหว่านวาน จากนั้นบนหน้าผาก แก้ม ปลายจมูก และริมฝีปาก ทุกหนแห่งต่างก็มีความรู้สึกอบอุ่นแผ่วเบามาสัมผัส ราวกับมีคนกำลังใช้ปลายขนนกปัดผ่านจุดต่างๆ เหล่านี้ ขณะที่ปัดผ่านไปนั้นยังคอยส่งเสียงเรียกนางอย่างอ่อนโยนว่าหว่านวาน ต่อจากนั้นก็เหมือนกับมีอะไรบางอย่างไหลลื่นเข้ามาในปากนาง กระหวัดเกี่ยวปลายลิ้นนาง และดูดดึงอย่างอ่อนโยน
ทว่าสัมผัสอ่อนโยนนั้นกลับค่อยๆ หนักหน่วงมากขึ้น นางรู้สึกว่าปลายลิ้นเริ่มเจ็บแสบจนรู้สึกกลัวขึ้นมาอีกครั้งอย่างห้ามไม่ได้ น้ำเสียงสะอื้นไห้แฝงไปด้วยความวิงวอน “ได้โปรด พี่ชาย อย่าได้ตัดลิ้นข้า อย่า ข้าเจ็บ ได้โปรด พี่ชาย ได้โปรด”
ได้ยินเสียงละเมอที่ฟังดูเลอะเลือนเช่นนี้ของนางแล้ว หัวใจหลี่เหวยหยวนพลันกระตุก เขาไม่ได้จุมพิตนางต่ออีก แต่ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ ทั้งยังใช้สายตาลุ่มลึกมองไปที่หลี่หลิงหว่านซึ่งยังคงนอนละเมอ
เจ้ารู้อะไรบ้างกันแน่
คืนนั้นเขาได้ยินตู้ซื่อเอ่ยออกมาอย่างชัดเจน เรื่องที่อารามกันลู่มีเพียงตัวนางกับเฝิงหมัวมัวซึ่งรับใช้อยู่ข้างกายนางเท่านั้นที่รับรู้ กระทั่งฮูหยินผู้เฒ่า นายท่านผู้เฒ่า และหลี่ซิวซงก็ไม่รู้เรื่อง แต่หลี่หลิงหว่านกลับรู้กระจ่างชัดขนาดนั้นได้อย่างไร ในภายหลังยังเอ่ยออกมาอย่างมั่นใจถึงจุดจบของภิกษุรูปนั้น ทั้งยังมีฮูหยินผู้เฒ่า รวมทั้งหลี่ซิวซงซึ่งจะมีจุดจบที่ไม่มีความสุข
นับตั้งแต่เขาอุ้มหลี่หลิงหว่านกลับมายังเรือนอี๋เหอนางก็เอาแต่หมดสติ ในคืนนั้นนางเป็นไข้ขึ้นมา ซ้ำยังมักส่งเสียงร่ำไห้ด้วยความหวาดกลัว พลิกตัวกระสับกระส่ายบอกว่านางไม่อยากตาย นางกลัวเจ็บ นางไม่อยากกินหญ้าไส้ขาด ทั้งเมื่อครู่นี้ยังร้องไห้วิงวอนไม่ให้เขาตัดลิ้นของนางอีก
ที่สำคัญที่สุดคือนางพูดว่า ‘พี่ชาย อย่าได้ตัดลิ้นข้า’
นางรู้เรื่องราวทั้งหมดของทุกคนใช่หรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นอดีตหรืออนาคต นางล้วนรู้จุดจบของทุกคนราวกับนิ้วมือตนเอง เช่นนั้นในเรื่องราวที่นางรู้มาทั้งหมด ในอนาคตเขาจะทำเช่นไรกับนาง
ตัดลิ้นนาง? ป้อนหญ้าไส้ขาดให้นางกิน? สังหารนาง? ด้วยเหตุนี้แม้ยามนั้นนางจะหวาดกลัวเขา แต่ก็ยังคงพยายามใกล้ชิดและประจบประแจงเขาอย่างที่สุด เพียงเพื่อที่จะมีชีวิตรอด?
แม้จะรู้นานแล้วว่าที่หลี่หลิงหว่านเข้ามาใกล้ชิดประจบประแจงเขาในตอนแรกนั้นก็เพราะว่ามีจุดประสงค์อื่น แต่ยามที่ได้รู้สาเหตุแล้วหลี่เหวยหยวนก็รู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก