หลี่หลิงหว่านทำได้เพียงทอดถอนใจ
วันนี้เป็นวันเสี่ยวเหนียน อากาศดีอย่างหาได้ยากยิ่ง หลี่หลิงหว่านให้ฮว่าผิงย้ายเก้าอี้พนักโค้งไปวางที่ลานเรือนตรงตำแหน่งที่มีแสงของดวงอาทิตย์ ปูเบาะรองสีเหลืองปักลายดอกซิ่วฉิว ก่อนที่นางจะไปนั่งอาบแดดบนเก้าอี้
ทว่าอาบแดดไปเพียงครู่เดียวนางก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นทั่วทั้งร่าง ทำให้นางรู้สึกง่วงงุนขึ้นมา
ท่ามกลางอาการสะลึมสะลือนั้น หลี่หลิงหว่านก็ได้ยินเสียงเปิดประตูเรือนกับเสียงสนทนาแผ่วเบาของสาวใช้ นางจึงลืมตาขึ้นมา แล้วก็ได้เห็นเสี่ยวซาน
“เจ้ากลับมาแล้วหรือ” น้ำเสียงของนางยังฟังดูแหบแห้งอยู่บ้าง หลายวันมานี้นางไอมาโดยตลอด ทั้งลำคอรู้สึกแสบร้อนไปหมด “เขาพูดอะไรบ้างหรือไม่”
แม้หลายวันมานี้นางจะป่วยอยู่ตลอด แต่ทุกๆ ห้าวันนางก็จะต้องให้เสี่ยวซานนำถ่านตะกร้าหนึ่งไปให้หลี่เหวยหยวน เดิมคิดว่าทำเช่นนี้แล้วจะสามารถทำให้หลี่เหวยหยวนหวั่นไหวได้ แต่เหมือนเขาจะไม่ได้รู้สึกอะไรทั้งนั้น
ขอเพียงแค่นางให้คนไปส่งของ ไม่ว่าของอะไรเขาก็ล้วนรับไว้ ทว่ากลับไม่เคยพูดอะไรแม้แต่คำเดียว อ้างตามที่เสี่ยวซานพูดมาก่อนหน้าก็คือ ‘อย่าว่าแม้แต่คำเดียวเลยเจ้าค่ะ กระทั่งสีหน้าก็ไม่แสดงความรู้สึก ทุกครั้งล้วนแต่มีสีหน้าเย็นชา ราวกับพวกเราติดหนี้อะไรเขาอย่างไรอย่างนั้น’
ยามนี้ได้ยินหลี่หลิงหว่านเอ่ยถาม เสี่ยวซานจึงส่ายศีรษะ “ไม่มีเจ้าค่ะ คุณชายใหญ่ยังคงไม่เอ่ยอะไรสักคำ”
หลี่หลิงหว่านส่งเสียงอืมรับคำหนึ่ง ในใจรู้สึกผิดหวังอย่างช่วยไม่ได้
แผนการโจมตีจิตใจเขาครั้งนี้ช่างยาวนานแท้หนอ ชั่วขณะหนึ่งในใจนางก็เผลอคิดอย่างโศกเศร้าว่าหัวใจของหลี่เหวยหยวนใช่ทำมาจากก้อนหินหรือไม่ ตนเองคงไม่มีวันโน้มน้าวเขาได้สำเร็จแล้วกระมัง
ยามนี้เสี่ยวอวี้ก็ยกอาหารกลางวันมาจากห้องครัว
เสี่ยวซานช่วยประคองหลี่หลิงหว่านกลับห้องมากินอาหารกลางวัน
เนื่องจากฮูหยินผู้เฒ่าเชื่อว่าคนป่วยกระเพาะอาหารไม่แข็งแรงพอจะรับอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ได้ไหว จึงได้สั่งกับทางห้องครัวไปนานแล้ว หลายวันที่ผ่านมานี้หลี่หลิงหว่านจึงได้กินแต่ข้าวต้มเปล่ากับผัก กินจนในปากนางจะไม่เหลือรสชาติใดแล้ว ทว่าวันนี้ดูเหมือนจะเริ่มมีเนื้อสัตว์บ้าง เพราะอาหารกลางวันที่เสี่ยวอวี้นำมานั้นมีหมูนึ่งข้าวคั่ว ไก่ตุ๋น ซ้ำยังมีน้ำแกงเส้นใส ใส่กุ้งชามใหญ่อีกหนึ่งชาม นี่เป็นเรื่องที่แม้แต่คิดก็ยังไม่กล้าเลย
เสี่ยวอวี้ยืนยิ้มเอ่ยอยู่ด้านข้าง “บ่าวได้ยินป้าจางบอกว่าฮูหยินผู้เฒ่าส่งคนมาแจ้งนางว่าตอนนี้อาการป่วยของคุณหนูสามหายดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ท่านกินแต่อาหารมังสวิรัติเหมือนช่วงก่อนหน้านี้อีก ทั้งบอกว่าท่านป่วยมาหลายวันจนดูซูบผอมไปหมด คางก็แหลมขึ้นมาแล้ว จึงสั่งให้ป้าจางทำอาหารดีๆ มาบำรุงท่านเป็นพิเศษเจ้าค่ะ”
หลี่หลิงหว่านแสดงออกว่าความสุขมาถึงเร็วเกินคาด เร็วจนนางไม่รู้จะเอ่ยอะไรดี นางทำได้เพียงก้มหน้าลงกินอาหารอย่างรวดเร็ว ใช้การกระทำแสดงออกถึงความดีใจในใจนาง
จิ่นเหยียนกำลังกล่าวรายงานถึงรายการอาหารกลางวันของหลี่หลิงหว่านในวันนี้ให้หลี่เหวยหยวนฟัง “บ่าวสังเกตโดยละเอียดแล้ว วันนี้อาหารกลางวันที่สาวใช้ของคุณหนูสามนามว่าเสี่ยวอวี้นำไปนั้นมีหมูนึ่งข้าวคั่วหนึ่งอย่าง ไก่ตุ๋นหนึ่งอย่าง และยังมีน้ำแกงเส้นใสใส่กุ้งชามใหญ่อีกหนึ่งอย่างขอรับ”
หลี่เหวยหยวนกำลังนั่งกินอาหารอยู่ที่โต๊ะ อาหารกลางวันของเขายังคงเรียบง่ายอย่างที่สุด มีเพียงผักเหี่ยวๆ หนึ่งจานกับผัดเมี่ยนจิน เท่านั้น
ทางหนึ่งเขากินอาหารไปอย่างเงียบๆ อีกทางกำลังคิดในใจว่า วันนี้อาหารกลางวันของหลี่หลิงหว่านมีเนื้อสัตว์มากถึงเพียงนี้แล้ว อาการป่วยของนางก็น่าจะหายสนิทแล้วกระมัง
รอจนกินอาหารเสร็จเขาก็ให้จิ่นเหยียนเก็บจานชามกับตะเกียบทั้งหมดไปล้าง ส่วนตนเองกลับไปนั่งอ่านตำราอยู่ที่โต๊ะหนังสือ