เสี่ยวซานตอบกลับทีละคำถามอย่างตั้งใจ “เมื่อคืนคุณหนูตื่นขึ้นมาทั้งหมดสามครั้ง ทุกครั้งจะสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมกับร้องไห้ บ่าวกับเสี่ยวอวี้อยู่ด้านข้างคอยปลอบประโลม คุณหนูจึงสงบลงได้อย่างช้าๆ หลังยามโฉ่ว คุณหนูก็ค่อยๆ หลับสนิทไปในที่สุด หลับไปจนกระทั่งเมื่อครู่ถึงเพิ่งตื่นขึ้นมา ระหว่างนั้นไม่มีร้องไห้ขึ้นมาอีกเจ้าค่ะ”
หลี่เหวยหยวนถึงค่อยวางใจได้เสียที เขาขยับเท้าก้าวเข้าไปในห้องเพื่อจะเยี่ยมหลี่หลิงหว่าน ส่วนเสี่ยวซานก็ไปเทน้ำในอ่างทองแดงทิ้ง
หลี่หลิงหว่านที่อยู่ในห้องได้ยินคำพูดซึ่งหลี่เหวยหยวนถามเสี่ยวซานทั้งหมดแล้ว เมื่อได้ยินเสียงเลิกม่านดังขึ้น นางจึงหันหน้ากลับมา มองหลี่เหวยหยวนแล้วยิ้มเอ่ย “พี่ชาย เสี่ยวซานเกือบถูกคำถามชุดนี้ของพี่ถามจนโง่งมแล้ว”
ความหมายโดยนัยคือการหยอกเย้าเขาว่าเหตุใดจึงมีคำถามมากมายเช่นนี้
แม้วันนี้ในห้องจะมีแสงอาทิตย์จากภายนอกสาดส่องเข้ามา แต่นางเพิ่งจะหายป่วยหนักมา ย่อมยังรู้สึกหนาวง่ายอยู่ ดังนั้นจึงยังสวมเสื้อยาวคอตั้งกระดุมผ่าหน้าสีแดงดอกไห่ถัง บริเวณปกและข้อมือกุ๊นด้วยขนสัตว์ สีร้อนแรงเช่นนี้หากนางสวมใส่ในยามปกติจะต้องดูงดงามจับตาอย่างแน่นอน ทว่ายามนี้ร่างกายของนางกลับอ่อนแอยิ่ง สวมชุดสีแดงดอกไห่ถังเช่นนี้จึงยิ่งขับสีหน้าซีดขาวของนางให้เด่นชัดมากขึ้น
หลี่เหวยหยวนเห็นแล้วในใจก็ยิ่งรู้สึกสงสารนางขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ น้ำเสียงที่เอ่ยจึงอ่อนโยนกว่าปกติมาก “มิใช่เพราะพี่ชายเป็นห่วงเจ้าหรอกหรือ”
หลี่หลิงหว่านยิ้มแย้มก่อนเชิญเขานั่งลงบนตั่งไม้ริมหน้าต่าง “พี่ชายนั่งลงก่อน รอข้าหวีผมให้เสร็จก่อนนะเจ้าคะ”
ตอนนี้นางป่วยอยู่ ยังไม่คิดจะออกจากห้อง ดังนั้นจึงให้เสี่ยวอวี้เกล้ามวยผมทรงทั่วไปให้เท่านั้น กระทั่งเครื่องประดับนางยังไม่สวมใส่สักชิ้น เผยเพียงเรือนผมยาวสีดำขลับ รอจนหวีผมเสร็จแล้วนางก็จับมือเสี่ยวอวี้ไว้ก่อนจะกระโดดขาเดียวไปนั่งบนตั่งไม้ เสี่ยวอวี้หยิบกล่องอาหารที่เมื่อครู่สาวใช้เพิ่งนำมาให้มาเปิดฝาออก แล้วเริ่มจัดวางลงบนโต๊ะเล็ก
หลี่หลิงหว่านเพิ่งจะหายป่วย สำรับอาหารที่ส่งมาย่อมไม่อาจเป็นของที่มันเลี่ยนเกินไปนัก อาหารจึงเป็นแค่ข้าวต้มเปล่าชามหนึ่งกับกับข้าวที่เน้นผักไม่กี่อย่างและขนมบ๊วยจานหนึ่งเท่านั้น
หลี่หลิงหว่านกินขนมบ๊วยไปหนึ่งชิ้น พอรู้สึกว่าอร่อยนางก็เงยหน้ายิ้มเอ่ยกับหลี่เหวยหยวน “พี่ชาย ขนมบ๊วยนี่เปรี้ยวๆ หวานๆ อร่อยมาก พี่อยากกินหรือไม่เจ้าคะ”
หลี่เหวยหยวนยากที่จะปฏิเสธการเชื้อเชิญ เขาจึงหยิบขนมบ๊วยขึ้นมากินชิ้นหนึ่ง ทว่าสายตายังคงมองข้อเท้าขวาของนางอย่างกังวลก่อนเอ่ยถาม “เจ้ายังปวดข้อเท้าขวาอยู่หรือไม่”
คืนนั้นด้วยความลนลานหลี่หลิงหว่านถึงกับข้อเท้าขวาแพลง เดิมทียังคิดไปว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร คิดไม่ถึงว่าหลังกลับมาแล้วจะพบว่าบริเวณข้อเท้าขวาของนางบวมเป่ง เมื่อครู่เวลาที่นางเดินก็ต้องกระโดดขาซ้ายขาเดียว เกรงว่าข้อเท้าขวาของนางจะยังไม่หายดี
หลี่หลิงหว่านได้ยินแล้วก็มองดูข้อเท้าขวาของตนเองคราหนึ่งเช่นกัน จากนั้นจึงยิ้มเอ่ย “แน่นอนว่ายังมีอาการปวดอยู่บ้าง แต่อีกไม่กี่วันก็ต้องดีขึ้นแน่นอนเจ้าค่ะ”
ขณะที่พูด เสี่ยวซานก็ถือยาแก้ฟกช้ำมาเพื่อนวดข้อเท้าให้คุณหนูของตน เมื่อเห็นหลี่หลิงหว่านยังกินอาหารอยู่ นางจึงถือยาแก้ฟกช้ำไปยืนรวบมืออยู่ด้านข้าง รอให้หลี่หลิงหว่านกินอาหารเสร็จก่อนแล้วค่อยไปนวดให้
แต่หลี่เหวยหยวนทนความอยากรู้ของตนเองไม่ไหวแล้ว เขาอยากเห็นว่าตอนนี้อาการที่ข้อเท้าขวาของหลี่หลิงหว่านเป็นอย่างไรบ้าง เขาจึงยื่นมือไปหาเสี่ยวซาน “เอายาแก้ฟกช้ำมาให้ข้า”
เขาอยากทายาแก้ฟกช้ำและนวดข้อเท้าให้หลี่หลิงหว่านด้วยตนเอง
ทว่าหลี่หลิงหว่านกลับรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาบ้างแล้ว
ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นเด็กสาวที่หน้าบางคนหนึ่ง แม้ฉากหน้านางกับหลี่เหวยหยวนจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่ยามนี้หากให้มาถอดถุงเท้าต่อหน้าเขา ทั้งให้เขานวดข้อเท้าให้ตนเองเช่นนี้ นางก็ยังรู้สึกว่าไม่เหมาะสมอยู่บ้าง นางจึงรีบร้อนชักเท้าขวาไปข้างหลังพร้อมกับยิ้มกว้างเอ่ย “ไม่ต้องรบกวนพี่ชายหรอกเจ้าค่ะ รอสักพักให้เสี่ยวซานช่วยนวดให้ข้าก็พอแล้ว”