หลี่เหวยหยวนเห็นหลี่หลิงหว่านเป็นเช่นนี้ เขามีแต่จะรู้สึกปวดใจ ทว่าเขาเองก็รู้ดี หากยามนี้เขาใช้แรงบังคับดึงมือของนางมา หรือว่ากอดตัวนางเอาไว้ คงมีแต่จะทำให้นางยิ่งหวาดกลัว แล้วก็ยิ่งขัดขืนเขามากขึ้น สุดท้ายเขาจึงเก็บมือกลับมาเงียบๆ ทั้งยังเดินไปหยิบเสื้อกันลมตัวหนาตัวหนึ่งมาจากราวแขวน และคลุมทับลงบนร่างของหลี่หลิงหว่านอย่างอ่อนโยน
บนร่างของหลี่หลิงหว่านสวมเพียงเสื้อชั้นกลางสีม่วงอ่อนตัวบาง แม้จะอยู่ภายในห้อง แต่ก็ยังเป็นหวัดได้ง่ายมาก
ยามที่วางเสื้อกันลมคลุมลงบนร่างของหลี่หลิงหว่าน หลี่เหวยหยวนจับสังเกตได้อย่างชัดเจนว่าทั้งร่างของนางสั่นสะท้านเล็กน้อยด้วยความกลัว ศีรษะก็ก้มลงต่ำกว่าเมื่อครู่มากนัก
ในใจลอบถอนหายใจคราหนึ่ง ทว่าหลี่เหวยหยวนยังคงไม่เอ่ยอะไร กระนั้นเขาเองก็ไม่ได้จากไปไหน เพียงแค่นั่งลงบนขอบเตียงเงียบๆ สายตามองไปที่หลี่หลิงหว่านอย่างใส่ใจและอ่อนโยน
เขากำลังรอให้นางลุกขึ้นมาสู้ด้วยตนเอง เขาเชื่อว่าดอกทานตะวันของเขาเป็นเด็กสาวที่แข็งแกร่งและมองโลกในแง่ดีคนหนึ่ง โลกใบนี้ไม่มีเรื่องอะไรหรือผู้ใดสามารถส่งผลกระทบต่อนางได้จริงๆ นางเพียงแค่ต้องการเวลาปรับตัวเท่านั้น และสิ่งที่เขาสามารถทำได้ก็คือการรออยู่ข้างกายนาง คอยอยู่เป็นเพื่อนนางเสมอ
ดวงอาทิตย์ลาลับไปทางทิศตะวันตก แสงสว่างค่อยๆ เลือนหาย ยามกลางคืนกำลังจะมาถึง
เดิมทีเสี่ยวซานอยากจะเข้าไปจุดเทียนภายในห้อง แต่เพิ่งเลิกม่านขึ้นก็ได้เห็นหลี่เหวยหยวนยกมือขึ้นโบกให้นางสองครั้งซึ่งเป็นการบอกให้นางออกไป
เสี่ยวซานชะโงกหน้ามองไปยังหลี่หลิงหว่านซึ่งนั่งซุกศีรษะอยู่ที่มุมเตียงโดยไม่ขยับแม้แต่น้อยคราหนึ่ง ในใจนึกสงสัยพลางคิดว่า คุณหนูฟื้นแล้วหรือ แต่ท่าทางเช่นนี้คุณหนูกำลังทำอะไรอยู่เล่า ทว่าเสี่ยวซานไม่กล้าถาม นางทำได้เพียงปล่อยม่านลงแล้วเดินย่องออกไปเงียบๆ
หลี่เหวยหยวนเห็นเสี่ยวซานจากไปแล้วจึงหันหน้ากลับมามองหลี่หลิงหว่านต่อ จากนั้นเขาก็เห็นว่าหลี่หลิงหว่านกำลังเงยหน้าขึ้นน้อยๆ เปิดเผยดวงตาคู่หนึ่งออกมาจับจ้องเขา สายตามองประเมินเขาอย่างระแวดระวัง
หลังสบตากับหลี่เหวยหยวน หลี่หลิงหว่านก็ราวกับสัตว์ตัวเล็กที่ได้รับความตระหนกตกใจ นางก้มศีรษะกลับลงไปอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
หลี่เหวยหยวนรู้สึกยินดียิ่ง เขารู้ว่าหลี่หลิงหว่านเริ่มคลายความหวาดกลัวลงบ้างแล้ว เขาจึงรีบส่งเสียงอ่อนโยนเรียกนาง “หว่านวาน”
หลี่หลิงหว่านไม่ได้ตอบกลับ แต่หลี่เหวยหยวนยังเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนต่อไปเรื่อยๆ “หว่านวาน” ทั้งยังเอ่ยถามนาง “เจ้าหิวหรือไม่ ข้าให้เสี่ยวซานต้มโจ๊กไก่ฉีกไว้แล้ว ให้คอยอุ่นเอาไว้ตลอดเวลา ยามนี้เจ้าอยากจะกินสักหน่อยหรือไม่”
ผ่านไปสักพักก็เห็นหลี่หลิงหว่านเงยหน้าขึ้นมองเขาน้อยๆ
บนใบหน้าหลี่เหวยหยวนจึงปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยนอย่างยิ่งออกมา ทั้งยังปล่อยให้สายตาหวาดหวั่นของนางมองสังเกตเขาได้ตามใจ
ผ่านไปสักพักใหญ่อีกครั้ง เขาก็ได้ยินเสียงสั่นๆ ของหลี่หลิงหว่านเอ่ยเรียกเขาอย่างไม่แน่ใจ “พี่ชาย?”
“อืม” หลี่เหวยหยวนรีบขานรับ “ข้าอยู่นี่”
หลี่หลิงหว่านเรียกเขาด้วยน้ำเสียงสั่นๆ อีกครั้ง “พี่ชาย”
“ข้าอยู่ตรงนี้”
ดวงตาหลี่หลิงหว่านมีน้ำตาไหลริน จากนั้นนางก็ใช้ทั้งมือและเท้าคลานมา ก่อนจะยื่นแขนออกไปโอบกอดรอบคอหลี่เหวยหยวนอย่างแนบแน่น แก้มอ่อนนุ่มฝังอยู่ข้างลำคอของเขาพลางสะอึกสะอื้นเอ่ย “คนผู้นั้น…สตรีผู้นั้น…นางตายแล้ว”
หยาดน้ำตาอุ่นร้อนร่วงหล่นลงมาบนลำคอของหลี่เหวยหยวน แล้วก็หล่นลงมาบนหัวใจเขาด้วยเช่นกัน ความรู้สึกสงสารเอ่อล้นอยู่เต็มอก
เขายื่นแขนออกไปโอบรอบร่างกายอ่อนนุ่มของนาง แล้วเอ่ยปลอบนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้ารู้ แต่ทุกอย่างล้วนผ่านไปแล้ว มีข้าอยู่ตรงนี้ ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าได้รับอันตรายใดๆ อย่างแน่นอน”
ร่างกายอ่อนนุ่มของหลี่หลิงหว่านที่ซบใบหน้าลงข้างลำคอหลี่เหวยหยวนชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงสะอื้นไห้ของนางดังขึ้นอีกครั้งอย่างแผ่วเบา “แต่ว่าพี่ชาย ข้ากลัว ข้า…ข้าฝันมากมายจริงๆ ฝันว่าสตรีผู้นั้นมาตามล่าชีวิตข้า ข้า…ข้ายังฝันว่าพี่ชายตัดลิ้นข้า เพื่อพี่สาม…พี่ยังจะสังหารข้าอย่างโหดเหี้ยม พี่ชาย ข้ากลัวเจ็บ ข้าไม่อยากตาย”
พูดมาถึงตรงนี้หยาดน้ำตาก็หลั่งรินออกมาจากดวงตาไม่หยุด นางยิ่งร้องไห้เสียงดังกว่าเดิม กระทั่งวาจาก็เอ่ยไม่ออก