หลี่หลิงเยี่ยนได้ยินแล้วก็เม้มปากยิ้มน้อยๆ “ปกติพี่ใหญ่ข้าก็มีนิสัยซื่อตรงเช่นนี้เสมอ ไม่รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา อีกอย่างระหว่างเขากับน้องสี่ของข้าก็มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งฉันพี่น้องจริงๆ พี่ใหญ่ดูแลน้องสี่อย่างเข้มงวดยิ่ง ทำราวกับว่าน้องสี่ของข้ายังเป็นเด็กน้อย ราวกับกลัวว่าผู้อื่นจะเป็นคนชั่วหรือมีประสงค์ร้ายต่อนางไปเสียหมด”
หลี่หลิงเยี่ยนยังคงยิ้มเอ่ย “ทว่าข้ากลับรู้สึกว่าพี่ใหญ่ทำเช่นนี้ไม่ดีเลยสักนิด ไม่ว่าอย่างไรน้องสี่ก็โตแล้ว วันหน้าหากน้องสี่ต้องไปอยู่ที่บ้านสามี เขาจะยังปกป้องนางเช่นนี้ไปตลอดชีวิตได้อีกหรือ ไม่รู้ว่าสามีนางจะรู้สึกเช่นไรนะเจ้าคะ”
ประโยคนี้พูดได้ตรงใจเหลียงเฟิงอวี่ ต่อให้ยามปกติเขาจะไม่ใช่คนที่พูดมากสักเท่าไร แต่ยามนี้เมื่อเผชิญหน้ากับหลี่หลิงเยี่ยนแล้วก็เหมือนได้พบกับคนรู้ใจ ไม่ว่าตนเองมีเรื่องราวอะไรในใจก็ล้วนพูดให้นางฟังได้ทุกเรื่อง
บนใบหน้าหลี่หลิงเยี่ยนไม่ปรากฏแววรำคาญใจเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังประดับรอยยิ้มบางๆ อยู่ตลอดเวลาขณะที่รับฟังเขาพูด บางคราวยังส่งเสียงอ่อนหวานเอ่ยขึ้นมาประโยคสองประโยค แล้วก็เอ่ยได้ตรงประเด็นพอดี ทำให้เหลียงเฟิงอวี่ยิ่งอยากสนทนากับนางต่อไปเรื่อยๆ
รอจนเหลียงเฟิงอวี่พูดไปเกือบหมดแล้ว เขาก็ได้ยินน้ำเสียงอบอุ่นของหลี่หลิงเยี่ยนเอ่ยขึ้นมาคล้ายไม่ตั้งใจ “ดูเหมือนเหลียงซื่อจื่อจะห่วงใยน้องสี่ของข้ามาก พูดไปแล้วรูปโฉมของน้องสี่ข้าก็งดงามมีเสน่ห์มากจริงๆ”
เมื่อได้ยินหลี่หลิงเยี่ยนพูดถึงหลี่หลิงหว่าน รอยยิ้มบนใบหน้าเหลียงเฟิงอวี่ก็ยิ่งสดใสมากขึ้นไปอีก
“ไม่ ไม่เพียงแต่นางจะมีรูปโฉมงดงามเท่านั้น นิสัยนางก็ดีมากเช่นกัน”
“หืม?” บนใบหน้าหลี่หลิงเยี่ยนแสดงท่าทีสนใจคำพูดนี้ของเขาเป็นอย่างยิ่ง “เหลียงซื่อจื่อเองก็คงทราบ แม้ข้ากับน้องสี่จะเป็นพี่น้องร่วมบิดากัน แต่หลายปีมานี้พวกเราไม่ได้อยู่ด้วยกันเลย ข้ากับนางจึงไม่ค่อยรู้จักกันสักเท่าไรนัก ดูเหมือนน้องสี่เองก็น่าจะมีเรื่องที่เข้าใจข้าผิดอยู่ด้วย ดังนั้นตั้งแต่ข้ากลับมาเมื่อปลายปีก่อน นางจึงไม่ค่อยใกล้ชิดสนิทสนมกับข้านัก ข้าเองก็ไม่รู้ว่าที่สุดแล้วน้องสี่ของข้าผู้นี้มีดีอะไรบ้างกันแน่ เหลียงซื่อจื่อพอจะสะดวกบอกให้ข้าทราบหรือไม่ ภายหลังข้าจะได้สนิทสนมกลมเกลียวกับน้องสี่ได้ดียิ่งขึ้น”
เหลียงเฟิงอวี่ฟังหลี่หลิงเยี่ยนเอ่ยเช่นนี้ เขาก็รู้สึกว่านางช่างเป็นเด็กสาวที่เข้าอกเข้าใจผู้อื่นคนหนึ่งจริงๆ แล้วก็เป็นพี่สาวที่ดีคนหนึ่งด้วย ภายหลังนางจะต้องเข้ากันได้ดีกับหลี่หลิงหว่านแน่นอน เขาจึงเอ่ยว่า “ความจริงเมื่อก่อนนี้น้องหว่านก็เป็นคนที่เย่อหยิ่งจองหองผู้หนึ่ง ยามนั้นในใจข้าเองก็ไม่ชื่นชอบนางเช่นกัน ต่อมานางโตขึ้น นิสัยก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก แน่นอนว่านางไม่ได้นุ่มนวลอ่อนหวานเหมือนกับคุณหนูหลี่ แต่ความร่าเริงสดใส ความใสซื่อ และความน่ารักในตัวนางนั้น ช่าง…ช่างชวนให้ผู้คนหลงใหลจริงๆ ข้าคิดว่าใต้หล้านี้คงไม่มีสตรีใดสามารถเทียบเคียงนางได้อีก แล้วก็คงไม่มีผู้ใดที่จะไม่ชอบนาง”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้รอยยิ้มสว่างไสวของเขาก็แทบจะเอาชนะดวงอาทิตย์ที่อยู่เหนือศีรษะแล้วจริงๆ
มือของหลี่หลิงเยี่ยนที่ปล่อยอยู่ข้างลำตัวค่อยๆ กำขึ้นมาช้าๆ เมื่อได้ยินเหลียงเฟิงอวี่กล่าวชื่นชมหลี่หลิงหว่านต่อหน้าเช่นนี้ หลี่หลิงเยี่ยนก็ราวกับได้ดื่มน้ำส้มรสเปรี้ยวไปหนึ่งไห อย่างไรอย่างนั้น ในใจรู้สึกริษยาอย่างร้ายกาจ
นางอดแค่นเสียงดูแคลนขึ้นมาในใจไม่ได้ เหลียงเฟิงอวี่ผู้นี้ช่างเป็นคนที่โง่งมและตาไร้แววจริงๆ หลี่หลิงหว่านไฉนเลยจะดีงามดั่งที่ปากเขาพูดออกมาเช่นนั้น ก็แค่ในสายตาเขาเห็นหญิงที่ตนเองรักเป็นดั่งซีซือ ยังจะพูดว่าใต้หล้านี้ไม่มีสตรีใดสามารถเทียบเคียงนางได้ แล้วก็ไม่มีผู้ใดที่จะไม่ชอบนางอีกหรือ คนที่ไม่ชอบหลี่หลิงหว่านนั้นมีอยู่มากมายนัก กระทั่งบิดาของนางก็ไม่ชื่นชอบบุตรสาวผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง
ขณะเดียวกันในใจหลี่หลิงเยี่ยนก็ลอบริษยา หลี่หลิงหว่านมีความสามารถใดกันแน่ ถึงทำให้พี่ใหญ่รักถนอมดั่งแก้วตาตนเอง หรือทุกครั้งที่หลี่เหวยหลิงพูดถึงหลี่หลิงหว่าน ในน้ำเสียงก็จะเต็มไปด้วยความเอ็นดู ตอนนี้ยามที่เหลียงเฟิงอวี่พูดถึงอีกฝ่าย บนใบหน้าก็เต็มไปด้วยความหลงใหลและเปี่ยมด้วยความสุขล้นอีก
ทว่าหลี่หลิงเยี่ยนกลับคิดว่าไม่ว่าจะเป็นรูปโฉมก็ดี หรือความสามารถก็ช่าง หลี่หลิงหว่านล้วนเทียบเคียงตนเองไม่ได้แม้แต่น้อย เรื่องอื่นยังไม่พูดถึง เพียงแค่เรื่องที่อาจารย์หญิงผู้สอนเย็บปัก เพลงพิณ และมารยาทเหล่านั้นต่างพากันชื่นชมนางไม่หยุด หลี่หลิงหว่านเคยได้รับคำชมจากเหล่าอาจารย์หญิงมากเท่านางหรือไม่เล่า
ต่อให้ในใจกำลังมีทะเลน้ำส้มซัดสาดอยู่รุนแรงแค่ไหน ฉากหน้าของหลี่หลิงเยี่ยนก็ยังคงยิ้มได้งดงามบริสุทธิ์ “คิดไม่ถึงว่าน้องสี่จะมีข้อดีมากมายขนาดนี้ เห็นทีภายหน้าข้าจะต้องใกล้ชิดกับนางให้มากขึ้นกว่านี้แล้ว”