เหลียงเฟิงอวี่ผงกศีรษะอย่างเห็นด้วย “หากคุณหนูหลี่ได้ใช้เวลากับน้องหว่านสักระยะหนึ่งก็จะรู้ได้ด้วยตนเอง ความจริงนางเป็นคนที่เป็นมิตรและเข้าถึงง่ายมากคนหนึ่ง ก็เหมือนกับน้องสาวข้าและคุณหนูอวี๋ ในตอนแรกพวกนางก็ไม่ชื่นชอบน้องหว่านเช่นกัน ทว่ายามนี้กลับชอบอยู่กับน้องหว่านมากที่สุดแล้ว”
หลี่หลิงเยี่ยนยิ้มรับ ทว่ากลับลอบบีบผ้าเช็ดหน้าในมือจนแทบจะคั้นน้ำออกมาได้อยู่แล้ว
จู่ๆ นางก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามคล้ายไม่ตั้งใจ “ไม่กี่วันก่อนข้าบังเอิญได้ยินสาวใช้ปากมากในจวนแห่งนี้เอ่ยขึ้นมา ได้ยินว่าในอดีตรองข้าหลวงตู้ หรือก็คือบิดาของท่านป้าสะใภ้ใหญ่คนก่อนของข้าถูกคนใส่ความ ไม่กี่ปีหลังจากนั้นก็มีคดีของรองข้าหลวงซุนอีกผู้หนึ่งที่คล้ายๆ กันเกิดขึ้น ทั้งยังต้องโทษเนรเทศเช่นเดียวกัน ข้าได้ยินว่ายามนี้ฝ่าบาททรงเปลี่ยนคำพิพากษาให้กับคดีของพวกเขาทั้งคู่แล้ว ทั้งยังส่งคนไปรับรองข้าหลวงซุนจากสถานที่ที่ถูกเนรเทศไปกลับมาเมืองหลวง ไม่ทราบว่าตอนนี้รองข้าหลวงซุนกลับมาถึงเมืองหลวงแล้วหรือยังเจ้าคะ”
เรื่องนี้เหลียงเฟิงอวี่เองก็รับรู้ เขาจึงเอ่ยตอบ “ผู้ที่ได้รับพระราชโองการจากฝ่าบาทให้ไปรับรองข้าหลวงซุนกลับจากอวิ๋นหนานนั้นมีอยู่สองคนที่เป็นคนจากห้ากองกำลังรักษาเมืองของข้า พวกเขาเร่งรีบเดินทางไปอวิ๋นหนานตั้งแต่ปีก่อนแล้ว เพียงแต่มีหิมะตกหนักจนปิดทาง ขวางการเดินทางของพวกเขาเอาไว้จนไปต่อไม่ได้ เมื่อสองวันก่อนพวกเขาสองคนเพิ่งส่งจดหมายฉบับหนึ่งกลับมาพอดี บอกว่าไปถึงอวิ๋นหนานและรับครอบครัวรองข้าหลวงซุนมาแล้ว ทว่ารองข้าหลวงซุนมีโรคภัยรุมเร้ายังไม่หายดี เขาผู้สูงอายุจะเดินทางทั้งที่ร่างกายเจ็บป่วยได้อย่างไร ทำได้เพียงอยู่รักษาตัวไปก่อน รอจนหายป่วยแล้วก็ค่อยออกเดินทางกลับเมืองหลวงอีกที เมื่อเป็นเช่นนี้คาดว่าอย่างเร็วสุดต้องรอจนถึงเดือนสี่เดือนห้าจึงจะกลับมาถึงเมืองหลวงกระมัง”
หลี่หลิงเยี่ยนผงกศีรษะโดยไม่ได้เอ่ยอะไร
เดิมทีนางคิดว่าพวกท่านตาน่าจะเดินทางถึงเมืองหลวงตั้งแต่หลังปีใหม่ ถึงยามนั้นนางจะต้องติดตามซุนหลันอีไปพบท่านตาอย่างแน่นอน หากภายหลังตำแหน่งขุนนางของท่านตาเลื่อนสูงขึ้นไปอีก เขาจะต้องไม่มีทางยอมให้บุตรสาวของตนเองไปเป็นอนุผู้อื่นแน่ๆ คิดไม่ถึงว่าในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ท่านตากลับมาป่วยเสียได้ ถึงกับต้องรอถึงเดือนสี่เดือนห้า หรืออาจช้ากว่านี้กว่าจะกลับมาถึงเมืองหลวง
ในใจหลี่หลิงเยี่ยนรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ก่อนที่นางจะได้ยินเหลียงเฟิงอวี่เอ่ยถาม “เหตุใดคุณหนูหลี่ถึงได้ให้ความสนใจกับเรื่องนี้กันเล่า”
“เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาข้าได้ยินสาวใช้บางคนพูดเรื่องท่านป้าสะใภ้ใหญ่คนก่อนขึ้นมาเจ้าค่ะ พอคิดว่าปีนั้นหากมิใช่เพราะมีคดีใส่ร้ายเรื่องนี้ขึ้นมา ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ผู้นั้นก็คงไม่ต้องจากไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ทั้งครอบครัวก็คงไม่ต้องตายทั้งหมด หลังจากนั้นยังมีคดีของรองข้าหลวงซุนเกิดขึ้นมาอีก ประจวบเหมาะที่ฝ่าบาททรงกลับคำตัดสินคดีเหล่านี้พอดี ในใจนึกโศกเศร้าอยู่หลายส่วนจึงได้ถามขึ้นมาเท่านั้นเจ้าค่ะ”
เหลียงเฟิงอวี่ได้ยินแล้วก็ทอดถอนใจ “คุณหนูหลี่ช่างมีจิตใจดีงามมากจริงๆ”
หลี่หลิงเยี่ยนเงยหน้ามองเขา รอยยิ้มบนใบหน้าอบอุ่นอ่อนหวาน
เหลียงเฟิงอวี่ผู้นี้แม้มองดูแล้วหาใช่คนฉลาดเฉลียวมากมายอะไร แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นซื่อจื่อของจวนก่วงผิงโหว ในอนาคตย่อมสืบทอดบรรดาศักดิ์นี้ อีกทั้งตอนนี้เขายังรับตำแหน่งอยู่ในห้ากองกำลังรักษาเมืองอีกด้วย มีบิดาก่วงผิงโหวของเขาเป็นตัวกลางคอยช่วยเหลือ หน้าที่การงานในวันหน้าของเขาย่อมไม่แย่อย่างแน่นอน
ก่วงผิงโหว…หากแต่งให้กับเขาได้ เช่นนั้นก็จะได้เป็นฮูหยินท่านโหวแล้ว ยามออกไปข้างนอกมีผู้ใดบ้างที่จะไม่นอบน้อมเล่า
คิดมาถึงตรงนี้หลี่หลิงเยี่ยนจึงหันตัวกลับไปหยิบกิ่งเหมยกิ่งหนึ่งมาจากมือชิงถง นางยื่นมือไปข้างหน้า เอียงศีรษะน้อยๆ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มเขินอาย “ดอกเหมยงามสง่าเหมาะกับเหลียงซื่อจื่อเป็นที่สุด หลิงเยี่ยนหาญกล้าขอเหลียงซื่อจื่อได้โปรดรับกิ่งเหมยกิ่งนี้เอาไว้ด้วยเจ้าค่ะ”
เหลียงเฟิงอวี่อึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะก้มหน้ามองนาง
เด็กสาวแก้มแดงระเรื่อ ขนตาดำยาวราวขนกาหลุบลงน้อยๆ ทั้งยังสั่นไหวเบาๆ อย่างควบคุมไม่ได้ ช่างชวนให้ผู้คนเห็นแล้วนึกอยากทะนุถนอมขึ้นมาเสียจริง
ผ่านไปครู่หนึ่งเหลียงเฟิงอวี่ก็ยื่นมือออกไปรับกิ่งเหมยที่หลี่หลิงเยี่ยนยื่นมาให้ พอเห็นว่าในมือสาวใช้คนนั้นยังถือกิ่งเหมยอยู่อีกกิ่ง เขาจึงอดถามขึ้นไม่ได้ “คุณหนูหลี่ กิ่งเหมยอีกกิ่งจะมอบให้น้องหว่านใช่หรือไม่”