เมื่อหลี่เหวยหยวนได้ยินก็เพียงยิ้มไม่ได้เอ่ยตอบ ก่อนมองเห็นที่ข้างทางมีต้นทับทิมอยู่ต้นหนึ่ง ดอกทับทิมสีแดงชาดเบ่งบานกำลังดี เขาจึงยื่นมือไปเด็ดดอกทับทิมดอกนั้นลงมาแล้วยกมือขึ้นเสียบลงบนมวยผมของหลี่หลิงหว่าน
สีของดอกทับทิมแดงดั่งเปลวเพลิง แต่ยามเสียบอยู่บนมวยผมของหลี่หลิงหว่าน ดอกทับทิมก็ยังคงถูกรูปโฉมงดงามของนางทำให้ด้อยลงไป
หลี่เหวยหยวนมองไปที่นาง สายตาอบอุ่นอ่อนโยน ก่อนจะยื่นมือไปกุมมือนางไว้แล้วจับจูงพาเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ พร้อมฟังเสียงนางที่ยังคงเล่าเรื่องเกี่ยวกับหญ้าลืมทุกข์และหวงฮวาไช่ให้เขาฟังอย่างขบขัน
ชั่วขณะนั้นเขาพลันรู้สึกว่าแค่เพียงได้อยู่กับนางเช่นนี้ ฟังนางพูดเรื่องต่างๆ แค่นั้นก็รู้สึกว่าจิตใจสุขสงบแล้ว
หลังจากเดินผ่านทางเดินเล็กๆ อ้อมอุโบสถใหญ่ ด้านหน้าก็มีอุโบสถเล็กอยู่แห่งหนึ่ง แม้จะเป็นวันที่อากาศร้อนเช่นนี้ แต่ภายในอุโบสถยังคงจุดตะเกียงไว้มากมาย
หลี่เหวยหยวนเงยหน้ามอง ก่อนหันกลับมาเอ่ยกับหลี่หลิงหว่านอย่างกะทันหัน “หว่านวาน ข้ามีธุระเล็กน้อยต้องไปที่นั่น ไม่นานก็กลับมา เจ้าหาสถานที่ร่มเย็นแถวนี้พักก่อนเถอะ แล้วรอข้าออกมาหาเจ้า”
หลี่หลิงหว่านมองเห็นอุโบสถเล็กแห่งนี้แล้วก็รู้ว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่ให้ผู้ศรัทธาจุดตะเกียงฉางหมิง
ในใจนางกระจ่างดี หลี่เหวยหยวนจะต้องไปจุดตะเกียงฉางหมิงให้แก่ตู้ซื่อเป็นแน่ แต่เขาไม่อยากให้นางรับรู้ นางจึงผงกศีรษะแล้วเอ่ยอย่างเชื่อฟังยิ่ง “เจ้าค่ะ พี่ชาย พี่ไปจัดการธุระของพี่เถอะ ข้าจะเดินเล่นอยู่แถวนี้รอพี่กลับมา”
หลี่เหวยหยวนกำชับนางอีกหลายครั้งไม่ให้นางเดินไปไกล จะต้องรอเขากลับมาพวกนี้แล้ว จากนั้นถึงได้ปล่อยมือนางแล้วเดินไปยังอุโบสถเล็กแห่งนั้น
หลี่หลิงหว่านมองแผ่นหลังภายใต้แสงอาทิตย์ร้อนแรงของเขา แม้เขาจะดูเหมือนสูงโปร่งองอาจ แต่ความจริงแล้วกลับซูบผอมเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อคิดถึงความทุกข์ยากที่เขาได้รับในหลายปีนั้นแล้ว แม้ยามนี้เขาจะเข้าไปในสำนักราชบัณฑิตได้ ฮูหยินผู้เฒ่ากับคนอื่นๆ ล้วนปฏิบัติต่อเขาเปลี่ยนไปมาก ทว่าสุดท้ายก็เป็นเพียงแค่เปลือกนอกเท่านั้น ข้างในมีความจริงใจอยู่มากเพียงใดกัน
ขณะที่ตู้ซื่อเป็นมารดาแท้ๆ ของเขา แม้ในยามที่เขาคิดถึงมารดาจะไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นใจเท่าไรนัก แต่อีกฝ่ายก็เคยสอนสั่งความรู้ให้ ทั้งเขายังเป็นคนพลั้งมือผลักนางกระแทกผนัง…
ถึงหลี่เหวยหยวนจะไม่เคยพูดมาก่อน แต่เกรงว่าในใจเขาจะต้องยังถือสาเรื่องนี้ มิเช่นนั้นยามนี้คงไม่มีทางตั้งใจไปจุดตะเกียงฉางหมิงให้แก่ตู้ซื่อเป็นแน่
หลี่หลิงหว่านถอนหายใจแผ่วเบา ในใจยิ่งรู้สึกสงสารหลี่เหวยหยวนขึ้นมา
หลังมองส่งหลี่เหวยหยวนเข้าไปในอุโบสถเล็กแล้ว หลี่หลิงหว่านก็มองไปรอบๆ เห็นที่ด้านข้างมีต้นอิ๋นซิ่งขนาดหนึ่งคนโอบอยู่ต้นหนึ่ง ที่ใต้ร่มเงามีโต๊ะหินกับเก้าอี้หินอยู่สี่ตัว นางจึงเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้หินตัวหนึ่ง ทั้งยังเรียกเสี่ยวซานให้มานั่งด้วย แต่เสี่ยวซานไม่กล้านั่ง กลับเอาแต่ยืนอยู่ข้างกายนาง
หลี่หลิงหว่านไร้หนทางจึงปล่อยให้เสี่ยวซานทำตามใจ ตัวนางเองนั่งลงบนเก้าอี้หิน ทางหนึ่งโบกพัดกลมในมือ อีกทางก็มองไปรอบๆ
เพียงไม่นานก็เห็นว่าที่ทางเดินหินเส้นเล็กๆ ตรงหน้ามีภิกษุรูปหนึ่งเดินขึ้นมา
ภิกษุรูปนั้นสวมชุดจื๋อตัวสีน้ำตาลแดง ศีรษะสวมงอบไผ่สาน บริเวณขอบที่สานด้วยตอกไม้ไผ่ล้วนพลิกขึ้น ในมือถือกระบองไม้หยาบๆ อันหนึ่ง เท้าสวมรองเท้าสานที่พื้นรองเท้าเสียดสีจนพื้นเกือบเรียบหมดแล้ว ลักษณะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง กำลังก้าวเท้าพรวดๆ เดินตรงไปข้างหน้า ฉับพลันราวกับสัมผัสได้ถึงบางอย่างกะทันหัน จู่ๆ เขาก็หันหน้ามองมาทางทิศที่หลี่หลิงหว่านนั่งอยู่
ในวันที่อากาศร้อนจัดเช่นนี้ งอบที่เขาสวมอยู่บนศีรษะทอดเป็นเงาขนาดใหญ่บนใบหน้าของเขา หลี่หลิงหว่านมองใบหน้าของเขาไม่ออกโดยสิ้นเชิง รู้สึกแค่เพียงว่าดวงตาของเขาทั้งกระจ่างและสว่างไสวยิ่ง อีกทั้งยังสงบเยือกเย็น เป็นความสงบเยือกเย็นดุจดั่งมองสรรพสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ได้อย่างปรุโปร่ง
มือที่โบกพัดกลมของหลี่หลิงหว่านชะงัก
ยามนี้ภิกษุรูปนั้นก็เปลี่ยนทิศด้วยการเดินมาทางหลี่หลิงหว่านแล้ว รอจนเข้ามาใกล้นางจึงมองเห็นใบหน้าของภิกษุรูปนี้ได้ชัดเจน
ความจริงแล้วก็เป็นใบหน้าที่แสนธรรมดามาก เพียงแต่สีหน้าดำคล้ำน้อยๆ ดูท่าจะเร่งรีบเดินทางมาโดยตลอด จึงได้ตากแดดจนผิวของเขาดำคล้ำเช่นนี้
ขณะเดียวกับที่นางสังเกตภิกษุรูปนี้ ภิกษุรูปนี้ก็สังเกตนางเช่นกัน หลังต่างฝ่ายต่างมองกันอยู่สักพัก ในใจหลี่หลิงหว่านก็เริ่มมีลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา
ภิกษุรูปนี้อายุประมาณห้าสิบปี มองดูแล้วเหมือนเพิ่งกลับมาจากการเดินทางไกล คงไม่บังเอิญถึงขนาดเป็นท่านเจ้าอาวาสหรอกกระมัง
(ติดตามต่อได้วันที่ 23 ก.ค. 62)