ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ยอดสามีของกุลสตรีอันดับหนึ่ง เล่ม 3 บทที่ 77-78
เฉิงอวี๋จิ่นพูดต่อไปว่า “อันที่จริงข้าก็ไม่ได้ยึดติดอะไรในตัวจิ้งหย่งโหว ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ชอบข้าอยู่แล้ว ในเมื่อน้องหญิงรองชอบเขา เขาก็ชอบน้องหญิงรองเช่นกัน เช่นนั้นให้คนที่มีใจต่อกันได้ครองคู่กันจึงจะเป็นเรื่องดีที่สุด ข้าขวางอยู่ตรงกลางจะนับเป็นตัวอันใดได้เล่า สามารถเชื่อมวาสนาให้ผู้อื่นได้ก็ดีมากเช่นกัน เพียงแต่ว่าหนทางข้างหน้าของข้าคงเดินได้ค่อนข้างลำบาก”
หลินชิงหย่วนถูกความคิดที่เกินขอบเขตของตนทำให้ตกใจจนเกร็งไปทั้งร่าง ตอนนี้หัวใจยังเต้นแรงอยู่เลย เลือดสูบฉีดไวอย่างไม่น่าเชื่อ เขารู้สึกว่าตนเองเสียมารยาทมากเกินไปแล้ว เหตุใดจึงเกิดความคิดล่วงเกินคุณหนูใหญ่เฉิงเช่นนี้ขึ้นมาได้ แต่ความคิดมักจะไม่เดินตามสติสัมปชัญญะ เมื่อความคิดนี้เกิดขึ้น หลินชิงหย่วนกลับไม่อาจควบคุมมันได้อีกต่อไป
เขาคิดไม่หยุดว่ามารดาเคยเร่งรัดเขาทั้งทางตรงและทางอ้อมมาหลายครั้งให้เขารีบมีครอบครัว ส่วนบิดาแม้จะไม่ได้พูดตามตรง แต่ก็ปรารถนาจะให้เขาแต่งภรรยามีบุตรเสียที บิดามารดาของเขาต่างมาจากตระกูลบัณฑิต ชอบสตรีที่มีความรู้มีเหตุผล อ่อนโยนใจกว้างที่สุด จวนอี๋ชุนโหวแม้จะไม่ใช่ตระกูลบัณฑิต แต่คุณหนูใหญ่เฉิงมีความรู้เต็มเปี่ยม นิสัยอ่อนโยน มารดาพบนางแล้วต้องชอบอย่างแน่นอน
หลินชิงหย่วนพบว่าตนเองยิ่งคิดยิ่งเลยเถิด เขารู้สึกสิ้นหวัง รีบสั่งให้ตนเองหยุดคิด ในเวลานี้เฉิงอวี๋จิ่นก็พูดขึ้นพอดี หลินชิงหย่วนจึงถามออกไปเหมือนเทพผีดลใจว่า “มีสิ่งใดให้เดินลำบากหรือ”
“เหตุใดจ้วงหยวนหลินจึงเลอะเลือนเสียแล้ว” เฉิงอวี๋จิ่นพูดด้วยรอยยิ้ม “ถูกถอนหมั้นครั้งหนึ่ง จะได้หมั้นหมายกับตระกูลที่ดีอีกได้อย่างไร ชาตินี้ข้าอยู่โดดเดี่ยวไปจนแก่นั้นไม่เป็นไร แต่จะทำให้ตระกูลเดือดร้อนไม่ได้ ถ้าข้าอยู่ในจวนไปตลอด หลานชายหลานสาวในวันหน้าจะพูดทาบทามหมั้นหมายได้อย่างไร ดังนั้นท่านย่าจึงหาพ่อม่ายคนหนึ่งให้ข้า ภรรยาตายไปหนึ่งปี ยังไม่ได้แต่งงานใหม่ ท่านย่าบอกว่าถึงแม้อีกฝ่ายจะอายุมากกว่าข้า บุตรชายก็ไม่เด็กแล้ว แต่อย่างไรก็เป็นภรรยาเอก สภาพการณ์ของข้าเป็นเช่นนี้ ถ้าเลือกต่อไปคงเป็นไม่ได้แม้แต่ภรรยาพ่อม่าย อีกอย่างอีกฝ่ายก็มีบุตรชายแล้ว ความกดดันของข้าก็ลดลงได้มาก ก็แค่เปลี่ยนสถานที่ใช้ชีวิตอีกแห่งเท่านั้น”
หลินชิงหย่วนยิ่งฟังหัวคิ้วยิ่งขมวดแน่น อะไรนะ ต้องลำบากคุณหนูใหญ่ไปเป็นภรรยาใหม่ของพ่อม่ายด้วยหรือ อีกฝ่ายภรรยาตาย แม้แต่บุตรชายก็ไม่เด็กแล้ว นี่อายุต้องมากเพียงใดกัน หลินชิงหย่วนนึกภาพชายอายุสี่สิบห้าสิบปีพุงพลุ้ยตามสัญชาตญาณ หัวคิ้วก็ขมวดแน่นยิ่งขึ้น
เฉิงอวี๋จิ่นที่บังอาจทำลายภาพลักษณ์ของตี๋เหยียนหลินลับหลังเจ้าตัวไม่มีความกดดันในใจแม้แต่น้อย อย่างไรเสียนางก็ไม่ได้พูดคำโกหก ตี๋เหยียนหลินอายุมากกว่านางจริง บุตรชายก็ไม่เด็ก อายุหกขวบแล้ว
หลินชิงหย่วนไม่รู้ว่า ‘พ่อม่าย’ ที่เฉิงอวี๋จิ่นพูดถึงคือไช่กั๋วกงผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ย่อมไม่มีทางรู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้แม้จะเป็นการแต่งภรรยาพ่อม่าย แท้จริงแล้วไม่ด้อยไปกว่าฮั่วฉางยวนเลย
เขาย่อมมีภาพฉากในบทละครที่ชายชราน่าเกลียดพยายามจะแต่งงานกับสตรีตกอับขึ้นมาเป็นธรรมดาจนทำให้ตนเองรู้สึกโกรธ หลินชิงหย่วนโกรธมาก รู้สึกถึงความไม่คุ้มค่าแทนเฉิงอวี๋จิ่น “คุณหนูใหญ่เฉิง เจ้าฉลาดเข้าอกเข้าใจคน มีความรู้มีเหตุผล ชายหนุ่มในโลกนี้ได้แต่งงานกับเจ้า ควรจะเป็นวาสนายิ่งใหญ่ บุรุษชราไร้ความสามารถ ได้แต่อาศัยบารมีรังแกคนอื่น จะเหมาะสมกับเจ้าได้อย่างไร เจ้าได้รับการดูหมิ่นถึงขั้นนี้ ไร้เหตุผลสิ้นดีจริงๆ!”
หากไม่ใช่เพราะเฉิงอวี๋จิ่นบีบให้ตนเองต้องอยู่ในบทบาท นางก็เกือบจะหัวเราะออกมาแล้ว คำพูดของหลินชิงหย่วนนี้ด่าได้ดี ตี๋เหยียนหลินคนเลวผู้นั้นสมควรถูกด่า เฉิงอวี๋จิ่นฟังแล้วมีความสุขอย่างยิ่ง
เฉิงอวี๋จิ่นกลั้นหัวเราะ แสดงภาพคุณหนูใหญ่ผู้อ่อนโยนมีมารยาท แต่ชะตาชีวิตเลวร้ายต่อไป แล้วพูดอย่างเศร้าใจว่า “แต่ข้าจะมีหนทางใดเล่า ท่านย่ากลัวอำนาจบารมีของเขา ไม่กล้าปฏิเสธ เขาก็ยิ่งบีบบังคับกัน ยังพูดอีกว่าสองวันให้หลังจะให้คนมาทาบทามสู่ขอที่จวน ข้าย่อมไม่ยินดีอยู่แล้ว แต่ข้าจะไม่สนใจสกุลเฉิงไม่ได้ ถ้าข้าโวยวายจะเป็นจะตาย ข้าตายแล้วก็หมดเรื่อง แต่ท่านพ่อท่านแม่คนในครอบครัวข้าจะทำอย่างไร”
หลินชิงหย่วนทั้งโกรธและสงสาร กำหมัดแน่นพลางถามว่า “คุณหนูใหญ่เฉิง คนผู้นี้เป็นใครกัน บ้านเมืองสงบสุขเช่นนี้ จะปล่อยให้เขากระทำการป่าเถื่อนได้อย่างไร ข้าไม่เชื่อว่าจะไม่มีกฎหมายบ้านเมืองอยู่”
เฉิงอวี๋จิ่นส่ายหน้า ไม่ยอมพูดชื่อของอีกฝ่ายออกมา “พี่หลิน ข้ารู้ว่าท่านหวังดี แต่ท่านอย่าถามเลย ข้าจะหาเรื่องยุ่งยากมาให้ท่านไม่ได้”
หลินชิงหย่วนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เหมือนสูญพลังไปอย่างฉับพลัน เมื่อครู่เขาเลือดขึ้นหน้า พูดจาร้อนแรงอย่างมาก แต่เขาก็สงบสติลงได้อย่างรวดเร็ว หลินชิงหย่วนไม่ใช่ชายหนุ่มที่ไม่รู้จักโลก การเติบโตท่ามกลางเหล่าขุนนางหลายปีมานี้ ได้ขัดเกลาความไร้เดียงสาเลือดร้อนของเขาไปหมดแล้ว ในเมืองหลวงมีพยัคฆ์หมอบมังกรซ่อน* น้ำนิ่งไหลลึก ต่อให้เป็นคุณชายในจวนกงหรือจวนโหวก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามล่วงเกินคนอื่น ท่านย่าของเฉิงอวี๋จิ่นเป็นถึงฮูหยินผู้เฒ่าในจวนโหว เช่นนี้ยังถูกอีกฝ่ายบีบคั้นได้ เขาเป็นเพียงขุนนางขั้นหกเล็กๆ ผู้หนึ่งเท่านั้น จะเอาอะไรไปเรียกร้องความยุติธรรมให้เฉิงอวี๋จิ่นได้เล่า
หลินชิงหย่วนพูดไม่ออก ผ่านไปครู่หนึ่งจึงถามอย่างงุนงงว่า “ไม่มีทางอื่นแล้วหรือ”
“ก็ใช่ว่าจะไม่มี” เฉิงอวี๋จิ่นก้มหน้า ขนตาสั่นไหวเล็กน้อย “อีกฝ่ายต่อให้มีบารมียิ่งใหญ่ก็ไม่สามารถฝืนชิงตัวข้าได้ ถ้าข้าหมั้นหมายกับผู้อื่นแล้ว ต่อให้เขาเหิมเกริมเพียงใดก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ว่าข้าถอนหมั้นแล้ว จะไปหาคู่หมั้นจากที่ใดเล่า”
เฉิงอวี๋จิ่นพูดพลางถอนหายใจ สีหน้าเศร้าสลด “ข้าเพ้อฝันไปเอง วิธีนี้ไม่มีทางเป็นจริงได้ พูดไปก็เท่านั้น”
หลินชิงหย่วนขยับริมฝีปากแล้วขยับอีก พูดอย่างลังเลใจว่า “อันที่จริงก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย”
เฉิงอวี๋จิ่นเงยหน้าขึ้น ดวงตางดงามคู่นั้นมองเขาอย่างเงียบๆ ทั้งไร้เดียงสาและสงสัย หลินชิงหย่วนถกปัญหากับผู้อื่นมาหลายปี เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าปากลิ้นของตนเองขยับได้ไม่คล่องแคล่ว ใบหูของเขาแดงเรื่อขึ้นมา ทันใดนั้นก็รวบรวมความกล้าพูดว่า “คุณหนูใหญ่เฉิง เจ้าว่า…”
ตอนที่หลินชิงหย่วนเอ่ยปากพูด ดวงตาของเฉิงอวี๋จิ่นก็เปล่งประกายแล้ว นางแสดงละครมานาน ในที่สุดปลาก็ติดเบ็ดแล้ว เฉิงอวี๋จิ่นมุมปากยกยิ้มเล็กน้อย ท่าทางของนางในตอนนี้แตกต่างกับ ‘คุณหนูใหญ่เฉิง’ ที่เข้มแข็งและอ่อนแอเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง
เฉิงอวี๋จิ่นรู้ตัวว่าตนเองเผลอหลุดอาการออกไป แต่นางคิดว่าทุกอย่างสำเร็จแล้ว ความแตกเพียงเล็กน้อยเท่านี้ หลินชิงหย่วนคงไม่สังเกตเห็น เฉิงอวี๋จิ่นยิ้มบางๆ ตั้งตารอให้หลินชิงหย่วนพูดให้จบ
หลินชิงหย่วนไม่ได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงสีหน้าอันน้อยนิดของเฉิงอวี๋จิ่นจริงๆ เขาตอนนี้ประหม่าและตื่นเต้น จะมีแก่ใจสังเกตเรื่องอื่นได้อย่างไร เดิมทีเขาคิดจะพูดว่า ‘เจ้าว่าข้าเป็นอย่างไร’ ทว่าเขาเพิ่งพูดคำว่า ‘ว่า’ จบ ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดออกทันใด
หลินชิงหย่วนตกใจ เอาคำว่า ‘ข้า’ กลืนกลับลงท้องไปทันที เฉิงอวี๋จิ่นคาดไม่ถึงกับการเปลี่ยนแปลงนี้ นางลุกขึ้นยืนทันที เพิ่งเดินไปสองก้าวก็เห็นคนผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าประตู เสื้อสีดำขลิบทอง ผูกแถบรัดเอว ดวงตาราวดาราน้ำแข็งเย็นเยือก
เฉิงหยวนจิ่งไม่รู้ว่ามานานเท่าใดแล้ว ดวงตาของเขากวาดมองภายในห้องช้าๆ หัวเราะเบาๆ ในทันใด “ดูท่าข้าคงมาไม่ถูกจังหวะสินะ”
หลินชิงหย่วนตะลึงไปชั่วครู่แล้วลุกขึ้นยืนทันที ทั้งตกใจและดีใจ “จิ่งสิง เจ้ากลับมาแล้วหรือ”
หลินชิงหย่วนถูกกระตุ้นด้วยความตื่นเต้นยินดีอันไม่คาดคิด จะจำได้ว่าเมื่อครู่ตนเองต้องการพูดอะไรได้อย่างไร เขาก็ไม่ทันได้สังเกตว่าเฉิงอวี๋จิ่นลุกขึ้นยืนก่อนเขา ทั้งยังเดินขึ้นหน้ามาก่อน ถึงขั้นที่สีหน้าของนางในตอนนี้ไม่ใช่สีหน้าที่คุณหนูใหญ่ผู้อ่อนโยนและอ่อนแอคนหนึ่งควรจะมีเลย
หลินชิงหย่วนเดินไปหาเฉิงหยวนจิ่ง รีบดึงตัวเฉิงหยวนจิ่งมาพูดคุยด้วย เฉิงหยวนจิ่งไม่ได้มองเขากลับมองผ่านไปยังเฉิงอวี๋จิ่นที่อยู่กลางห้อง
เฉิงอวี๋จิ่นตะลึงไปพักหนึ่ง ชั่วขณะนั้นนางถึงขั้นสงสัยว่าตาของตนเองมองผิดไป นางกะพริบตาอย่างแรง เห็นเงาร่างคนตรงหน้ายังไม่หายไป จึงหลับตาแรงขึ้น
ทว่าสวรรค์ไม่ได้ยินความในใจของนางอย่างเห็นได้ชัด เฉิงอวี๋จิ่นลืมตาขึ้นอีกครั้ง เห็นคนผู้นั้นยังยืนเด่นอยู่ตรงหน้า หัวใจของนางแทบจะสลายแล้ว
สวรรค์หนอ
เป็นครั้งแรกที่เฉิงอวี๋จิ่นสงสัยว่าตนเองถูกคนทำคุณไสย เฉิงหยวนจิ่งวุ่นวายกับเรื่องการกลับสู่ตำแหน่งองค์รัชทายาทไม่ใช่หรือ เหตุใดจู่ๆ จึงกลับมา นางคงไม่โชคร้ายเช่นนี้กระมัง นางเพิ่งได้เจอกับหลินชิงหย่วนวันนี้ ปรากฏว่าเฉิงหยวนจิ่งก็กลับมาในวันนี้เวลานี้พอดี หากเขามาช้าไปอีกเพียงหนึ่งถ้วยชาก็คงพอแล้ว
ไม่ถูกสิ เฉิงอวี๋จิ่นได้สติขึ้นมาทันที หลินชิงหย่วนจะพูดประโยคที่สำคัญที่สุดนั้นออกมาอยู่แล้ว ถูกเฉิงหยวนจิ่งตัดบทไปพอดี โลกนี้มีเรื่องบังเอิญเช่นนี้ด้วยหรือ เฉิงหยวนจิ่งมาถึงเมื่อใด มานานเท่าใดแล้ว ได้ยินมากน้อยเท่าใด
เฉิงอวี๋จิ่นมองไปทางเฉิงหยวนจิ่งอย่างสงสัย ทว่านางเพิ่งช้อนตาขึ้นก็ประสานเข้ากับสายตาของเฉิงหยวนจิ่ง อีกฝ่ายก็กำลังมองนางอยู่พอดี
อารมณ์ซับซ้อนทั้งสงสัย โมโห เศร้า และฉุนเฉียวของเฉิงอวี๋จิ่นราวกับถุงหนังที่ใส่น้ำจนเต็มถูกเข็มเจาะแตก ลมรั่วจนแฟบ นางก้มหน้าลงอย่างเงียบๆ เผยให้เห็นเพียงหลังศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยเส้นผมอ่อนนุ่ม
นางรู้ว่าตนเองจบสิ้นแล้ว
เฉิงหยวนจิ่งเกลียดที่ผู้อื่นโกหกเขามากที่สุด เฉิงอวี๋จิ่นตอนนั้นเคยรับปากเขา ถึงขั้นยังสาบานอีกด้วย รับรองว่าปีนี้จะไว้ทุกข์อย่างสบายใจ ไม่คิดอะไรส่งเดช
ใครจะรู้ว่าเขาจะกลับมาวันนี้ หากเฉิงหยวนจิ่งบอกล่วงหน้า เฉิงอวี๋จิ่นต้องเปลี่ยนสถานที่แน่นอน จะถูกจับคาหนังคาเขาเช่นนี้ได้อย่างไร
เวลาเฉิงหยวนจิ่งโกรธหนักจะกลายเป็นคนสงบนิ่ง เขากวาดตามองเฉิงอวี๋จิ่นอย่างเงียบๆ แวบหนึ่ง ถึงแม้นางจะก้มหน้าอย่างน่ารัก แสดงถึงความโอนอ่อนอย่างเห็นได้ชัด แต่เฉิงหยวนจิ่งมั่นใจมากว่านางไม่รู้สึกเสียใจอันใดเลย อาจถึงขั้นวางแผนว่าครั้งหน้าจะทำอีกครั้ง
ช่างดีเสียจริง
เฉิงหยวนจิ่งไม่พูดอะไร เดินเข้ามาในห้องอย่างไม่เร็วไม่ช้า เฉิงอวี๋จิ่นได้ยินเสียงฝีเท้าย่างก้าวเป็นจังหวะเข้ามาใกล้ทุกที น่องก็รู้สึกอ่อนแรง เฉิงอวี๋จิ่นหยิกตัวเองอย่างแรงทีหนึ่ง เงยหน้าขึ้น ใช้ฝีมือการแสดงที่สั่งสมมาทั้งชีวิตพูดกับเฉิงหยวนจิ่งด้วยรอยยิ้ม “ท่านอาเก้า ท่านกลับมาแล้วหรือ”
เฉิงหยวนจิ่งมองนางแล้วหัวเราะทีหนึ่งเช่นกัน “วันก่อนกลับมาไม่ทัน วันนี้ตั้งใจรีบกลับมาให้เงินยาซุ่ย* เจ้า คิดไม่ถึงว่าหลานสาวคนโตจะต้องให้ข้าตามหา”
เฉิงอวี๋จิ่นหว่างคิ้วกระตุกตุบๆ เฉิงหยวนจิ่งกับนางไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด ตอนอยู่ส่วนตัวเฉิงหยวนจิ่งจะเรียกชื่อของนางโดยตรง มีน้อยครั้งมากตอนที่เขาโกรธจึงจะเรียกนางปนข่มขู่ว่า ‘หลานสาวคนโต’ เฉิงหยวนจิ่งปั้นหน้าเย็นชายังดีกว่า เขาสงบนิ่งไม่แสดงสีหน้าอะไรเช่นนี้ กลับทำให้เฉิงอวี๋จิ่นรู้สึกกลัวมากขึ้น
แย่แล้ว ครั้งนี้องค์รัชทายาทโกรธจริงๆ แล้ว