ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ยอดสามีของกุลสตรีอันดับหนึ่ง เล่ม 3 บทที่ 77-78
เฉิงอวี๋จิ่นราวกับลูกหนังไร้ลม นั่งลงตามเฉิงหยวนจิ่งอย่างเศร้าสลด หลังจากนางนั่งดีแล้วช้อนตาขึ้น สวรรค์ เฉิงหยวนจิ่งนั่งลงบนตำแหน่งที่นางนั่งอยู่เมื่อครู่
กาน้ำชายังมีไอน้ำลอยปุดๆ ออกมาอยู่ เฉิงหยวนจิ่งหลุบตามองม่านน้ำลอยฟุ้งนั้นแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “พวกเจ้าช่างมีความสุขจริงๆ มานั่งต้มชาดื่มอยู่ที่นี่”
เฉิงอวี๋จิ่นหัวคิ้วกระตุก รีบให้ตู้รั่วยกน้ำที่ต้มเดือดแล้วออกไป เฉิงอวี๋จิ่นนั่งลงที่ข้างกายเฉิงหยวนจิ่ง ครอบครองพื้นที่เพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เฉิงหยวนจิ่งอย่างน่ารัก พูดว่า “ท่านอาเก้า ชานี้ต้มนานมาก ใบชาจืดหมดแล้ว ท่านอาเก้าเก่งกาจทั้งบุ๋นบู๊ สง่างามไร้ที่ติ ข้านับถือท่านอาเก้าจากใจ จะให้ท่านอาเก้าใช้ของชั้นด้อยได้อย่างไร ตู้รั่ว เปลี่ยนน้ำใหม่มา”
ตู้รั่วตกใจไม่เบาเช่นกัน รีบยกของออกไป เปลี่ยนน้ำใหม่เข้ามา เฉิงอวี๋จิ่นลองไฟอีกครั้ง ต้มน้ำต้มชาด้วยท่าทีที่จริงจัง แสดงฝีมืออันชำนิชำนาญ ยอดเยี่ยมกว่าเมื่อครู่หลายชั้นนัก
ความแตกต่างสองครั้งเห็นได้ง่าย สามารถมองออกได้ว่านี่จึงจะเป็นระดับความสามารถแท้จริงของเฉิงอวี๋จิ่น คนหนึ่งจริงจังทำทุกอย่างให้สมบูรณ์ อีกคนหนึ่งทำงานให้เสร็จอย่างสบายใจก็พอแล้ว
หลินชิงหย่วนในเวลานี้จึงรู้ว่าที่แท้เมื่อครู่เฉิงอวี๋จิ่นไม่ได้จริงจังแม้แต่น้อย เขาดูอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดอย่างขมขื่นว่า “ในบ้านนอกบ้านแตกต่างกันจริงๆ มีจิ่งสิงอยู่ คุณหนูใหญ่เฉิงจึงจะยอมเอาของที่ดีที่สุดออกมา”
เฉิงอวี๋จิ่นลอบเหลือบตามองเฉิงหยวนจิ่งแวบหนึ่ง พูดประจบโดยไม่กะพริบตา “เรื่องนี้แน่นอน ข้านับถือท่านอาเก้าที่สุด ของของเขาย่อมต้องไม่เหมือนผู้อื่น”
หลินชิงหย่วนฟังแล้วจุปากทีหนึ่ง โชคดีที่รู้ว่าพวกเขาเป็นอาหลานแท้ๆ กัน ไม่เช่นนั้นเขาคงจะขนลุกทั่วตัวแล้ว
เฉิงหยวนจิ่งได้ยินว่าในบ้านนอกบ้านแตกต่างกัน อารมณ์ก็ดีขึ้นมาบ้าง เฉิงอวี๋จิ่นเอ่ยปากยอมรับในทันที ทำให้เขาสบายอารมณ์ขึ้นมาอีกนิด ทว่าคิดจะอาศัยลูกไม้เล็กๆ เหล่านี้ผ่านด่านนี้ไป ยังห่างไกลนัก
เฉิงอวี๋จิ่นสังเกตสีหน้าของเฉิงหยวนจิ่งอยู่ตลอด พอนางพูดจบเห็นเฉิงหยวนจิ่งไม่พูดต่อก็รู้ว่าตนเองจบสิ้นแล้ว นางถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้มเฮือกหนึ่ง ใช้มือครอบชา แบ่งถ้วยอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นยกถ้วยแรกให้แก่เฉิงหยวนจิ่ง
เฉิงอวี๋จิ่นเงยหน้าขึ้น กะพริบตาส่งเสียงเรียก “ท่านอาเก้า”
เสียงของนางจงใจพูดให้อ่อนโยนลง คำเพียงสองคำราวกับเลี้ยวไปหลายสิบโค้ง เฉิงหยวนจิ่งเดิมทีคิดจะไม่สนใจนาง แต่พอเห็นสายตาของนางแล้วก็ทนไม่ได้ที่จะหักหน้านางต่อหน้าคนนอก
เฉิงหยวนจิ่งยื่นมือไปรับถ้วยชามา เฉิงอวี๋จิ่นรู้สึกโล่งอกจริงๆ หลังจากนั้นนางจึงเทชาถ้วยที่สองยื่นให้หลินชิงหย่วน
หลังจากเฉิงหยวนจิ่งเข้ามาหลินชิงหย่วนก็รู้สึกเหมือนมีหนามแหลมแทงหลัง* ผิดปกติไปทั้งตัว แต่เขาคิดว่าตนเพียงคิดไปเอง ความแตกต่างในการปฏิบัติของเฉิงอวี๋จิ่นที่เห็นได้ง่ายนี้ทำให้หลินชิงหย่วนถือสาอยู่บ้าง แต่เมื่อคิดว่าเฉิงหยวนจิ่งเป็นท่านอาของเฉิงอวี๋จิ่นก็รู้สึกว่าเข้าใจเรื่องทั้งหมดได้
คนครอบครัวเดียวกันย่อมสนิทกันมากสักนิด หลินชิงหย่วนเหนือกว่าไม่ได้ก็เป็นปกติ
แท้จริงแล้วหลินชิงหย่วนอยากจะพูดหัวข้อเมื่อครู่นั้นต่ออย่างมาก แต่มีเฉิงหยวนจิ่งอยู่ คำพูดเหล่านั้นเขาไม่สะดวกจะพูดอีก อีกทั้งเวลาผ่านเรื่องราวเปลี่ยน คำพูดมากมายหากผ่านจังหวะนั้นไปแล้ว พูดออกมาก็จะเปลี่ยนความรู้สึกไป หลินชิงหย่วนรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง ทำได้เพียงกลืนคำพูดครึ่งประโยคหลังลงไป ไม่พูดถึงชั่วคราว
มีเฉิงหยวนจิ่งอยู่ หลินชิงหย่วนไม่อาจพูดกับเฉิงอวี๋จิ่นโดยตรง ทำได้เพียงหันไปพูดกับเฉิงหยวนจิ่ง “จิ่งสิง เหตุใดเจ้าจึงจากจวนไปนานเช่นนี้ เกิดเรื่องสำคัญอะไรขึ้นหรือ”
“ไม่มีอะไร” เฉิงหยวนจิ่งน้ำเสียงเรียบเฉย “เรื่องส่วนตัวเท่านั้น”
เฉิงอวี๋จิ่นได้ยินแล้วเบ้ปาก เรื่องส่วนตัว เรื่องส่วนตัวที่สามารถส่งผลกระทบต่ออำนาจยิ่งใหญ่ใต้หล้าเท่านั้น
เฉิงหยวนจิ่งพูดว่าเรื่องส่วนตัว หลินชิงหย่วนก็ไม่สะดวกจะถามต่อ และหลินชิงหย่วนก็เชื่อมั่นเฉิงหยวนจิ่งอย่างบอกไม่ถูก มักจะรู้สึกว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอเพียงส่งมอบถึงมือของเฉิงหยวนจิ่งก็ไม่มีปัญหาใหญ่อะไร ความรู้สึกตึงเครียดของเขาผ่อนคลายลง ค่อยๆ เล่าเรื่องราวชีวิตบางอย่างขึ้นมา
เฉิงหยวนจิ่งฟังหลินชิงหย่วนพูดอยู่ครู่หนึ่ง จึงถามอย่างไม่เร็วไม่ช้าว่า “ตอนนี้เป็นช่วงวันขึ้นปีใหม่ ถึงแม้บรรพชนสกุลหลินจะไม่อยู่ในเมืองหลวง แต่ช่วงนี้แขกไปใครมาคงมีไม่น้อยเช่นกัน เหตุใดเจ้าจึงคิดมาที่จวนสกุลเฉิงได้”
หลินชิงหย่วนรับคำ “อ้อ” แล้วตอบอย่างไม่ปิดบังว่า “อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ข้าอยู่จวนรู้สึกเบื่อจึงอยากมายืมตำราที่เจ้า ได้ยินว่าเจ้าไม่อยู่ข้าก็คิดว่าจะกลับออกไป บังเอิญเจอกับคุณหนูใหญ่เฉิงระหว่างทางพอดี”
เฉิงอวี๋จิ่นก้มหน้าต่ำลงอีกนิด เฉิงหยวนจิ่งชำเลืองมองเฉิงอวี๋จิ่นด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดว่า “บังเอิญจริงๆ”
“ใช่แล้ว บังเอิญมาก” หลินชิงหย่วนเป็นคนไม่คิดมาก จึงไม่ได้สังเกตถึงบรรยากาศที่ผิดปกติอย่างน่าประหลาดตรงหน้า เพียงพูดอย่างไม่ใส่ใจอะไรว่า “ข้ามาหาเจ้าเพื่อขอยืมตำรารวมบทกลอนกับตำราถกเรื่องร้อยแปด คุณหนูใหญ่เฉิงบอกว่าตำราสองเล่มนี้อยู่ที่นางพอดี นางให้สาวใช้ไปหาแล้ว ช่วงเวลาที่รอนั่งพูดคุยกัน คุณหนูใหญ่เฉิงจึงต้มชาให้ดื่ม”
เฉิงอวี๋จิ่นอยากจะยับยั้งแต่ไม่อาจยับยั้งได้ หลินชิงหย่วนยังเป็นคนไม่คิดมากอีกด้วย มีอะไรก็พูดอย่างนั้น พอหลินชิงหย่วนพูดจบ เฉิงอวี๋จิ่นแทบอยากจะขุดหลุมฝังตนเองเสียเลย
นางใจสลายเป็นเถ้าถ่าน ลอบชำเลืองมองเฉิงหยวนจิ่งแวบหนึ่ง เฉิงหยวนจิ่งใช้นิ้วมือลูบถ้วยกระเบื้อง มุมปากมีรอยยิ้ม “ตำรารวมบทกลอน ตำราถกเรื่องร้อยแปด?”
เฉิงหยวนจิ่งพูดพลางหันมองเฉิงอวี๋จิ่น แววตามีรอยยิ้ม “ตำราสองเล่มนี้อยู่ที่เจ้าหรือ”
เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ เฉิงอวี๋จิ่นเพียงแค่พูดจาส่งเดชเท่านั้น นางไล่สาวใช้กลับไปหา ย่อมหาไม่เจออยู่แล้ว ทว่าของเช่นตำรานี้เหตุใดต้องไปหา นางเพียงอ้างว่าลืม จากนั้นให้หลินชิงหย่วนยืมตำราของตนเองสักเล่ม ตอนที่หลินชิงหย่วนเอามาคืน ย่อมต้องมาหานางอีก การติดต่อไปมาเช่นนี้ ระหว่างพวกเขาก็สร้างความสัมพันธ์ต่อกันได้แล้ว
เฉิงอวี๋จิ่นเงยหน้าขึ้น ในดวงตาผสมปนเปทั้งความอ่อนแอ ไร้เดียงสา และน่าสงสาร “ท่านอาเก้า”