เพียะ!
ป้าหลิวถึงขั้นยังไม่มีการตอบสนอง มู่เซิงยังไม่ทันได้รู้สึกเจ็บฝ่ามือของมู่เฉินก็ตบเข้าที่แก้มอีกฝั่งของมู่เซิงในทันที
ครั้นป้าหลิววิ่งมาด้วยอารามตกใจและมู่เซิงอ้าปากเตรียมจะร้องไห้ มู่เฉินก็ออกแรงยกถังน้ำขึ้นมาและคว่ำใส่ศีรษะของมู่เซิงแล้ว! นางอาศัยแรงนี้ผลักมู่เซิงให้ล้มหงายลงบนพื้น
กว่าป้าหลิวจะกระชากตัวมู่เฉินออกมาได้ มู่เซิงก็ร้องไห้ฟูมฟายแล้ว พอดึงถังน้ำออกมาจากศีรษะผมเผ้านางยุ่งเหยิงพร้อมน้ำตานองหน้า นางกรีดร้องเสียงดัง ที่แล้วมาทุกครั้งยามต่อปากต่อคำแพ้มู่เฉินนางก็หวังจะเห็นมารดามาทำให้คนพวกนี้อัปยศอดสู แต่สิ่งที่ไม่ว่าอย่างไรนางก็คาดไม่ถึงคือนางชั้นต่ำที่เกิดจากนางแพศยาผู้นั้นจะกล้าลงไม้ลงมือกับนาง!
หลังมู่เฉินลงมือแล้วก็มีท่าทางทุลักทุเลอยู่เล็กน้อยเช่นกัน แต่นางเพียงลุกขึ้นจัดชายกระโปรงแล้วยืนตัวตรง ก่อนแค่นเสียงเย็นกล่าวอย่างคล้ายว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น “แม่เป็นเยี่ยงไร ลูกก็เป็นเยี่ยงนั้นจริงๆ ข้าจะถือเสียว่าสั่งสอนเจ้าแทนบิดาเจ้าแล้วกัน สกุลมู่จะอย่างไรก็เป็นตระกูลขุนนางในแถบเจียงจั่วมาหลายชั่วอายุคน เจ้าเอาแต่พ่นคำพูดสกปรกเช่นนี้เป็นการเสื่อมเสียเกียรติวงศ์ตระกูลโดยแท้”
มู่เฉินใช้คำว่า ‘บิดาเจ้า’ เพราะในสายตาของนางมู่ไป่เอินขุนนางคนสำคัญแห่งราชวงศ์จิ้นไม่สมควรเป็นบิดาของตนเอง ทว่าแม้ภายนอกนางใจเย็น แต่อันที่จริงในใจก็หวาดกลัวเช่นกัน ที่ผ่านมาปะทะคารมกันนั้นช่างเถอะ แต่คราวนี้ถึงกับลงไม้ลงมือตบอีกฝ่ายเข้าจริงๆ แค่คิดก็รู้แล้วว่าจะมีผลตามมาเช่นไร
พอมู่เซิงร้องแรกแหกกระเชอพ่อบ้านก็โผล่มาตามคาด
มู่เซิงน้ำมูกน้ำตาไหลเต็มหน้า ชี้มู่เฉินพลางร้องไห้โวยวาย “พ่อบ้าน เร็ว เร็วเข้า! เรียกคนมา! นางตบข้า! นางถึงกับบังอาจตบข้า!”
มู่เฉินมองพ่อบ้านเงียบๆ ทั้งสกุลมู่คล้ายว่าจะมีเพียงพ่อบ้านวัยกลางคนผู้นี้ที่เข้าใจในเหตุและผล ไม่เคยสร้างความลำบากใจใดๆ ต่อนาง แต่ครั้งนี้เกรงว่าเขาคงจะต้องตำหนินางแล้วกระมัง
ทว่าเหนือความคาดหมาย พ่อบ้านเพียงมองมู่เซิงพลางถอนหายใจ
แววอ่อนอกอ่อนใจในดวงตานั้นเหมือนกับที่ใช้มองมู่เฉินในกาลผ่านมา
มู่เฉินมองเข้าใจแล้ว แต่มู่เซิงยังไม่เข้าใจ ป้าหลิวเองก็ไม่เข้าใจ พวกนางคนหนึ่งร่ำไห้อาละวาดอย่างต่อเนื่อง อีกคนก็คอยใส่สีตีไข่
ในขณะที่มู่เฉินยามนี้กำลังรอคอยอย่างใจจดใจจ่อว่าพ่อบ้านจะพูดอะไรบ้าง ดูจากแววตาพิกลนั้นของเขาจะต้องมีเรื่องอะไรที่คาดคิดไม่ถึงเกิดขึ้นแล้วเป็นแน่แท้
ทว่าพ่อบ้านเองก็เพียงแต่กล่าวกับมู่เซิงว่า “คุณหนูขอรับ นายท่านและฮูหยินเรียกท่านไปที่โถงด้านหน้าประเดี๋ยวนี้ จะช้ามิได้แม้เพียงเค่อ เดียว”
มู่เซิงไม่ยอมทำตาม ก่อนจะพูดว่า “ไปโถงด้านหน้าอันใดกัน! สภาพข้าเป็นเยี่ยงนี้ยังจะไปโถงด้านหน้าได้หรือ! เจ้าไปเรียกท่านพ่อท่านแม่มาซิ!”
ป้าหลิวเองก็กล่าวกับพ่อบ้านว่า “คุณหนูบอกอะไรท่านก็ทำตามไปสิ!”
“เจ้าจะเข้าใจอะไร!” พ่อบ้านเปลี่ยนท่าทีต่างไปจากที่ผ่านมา ทำหน้าเคร่งพลางกล่าวว่า “คุณหนูโปรดตามบ่าวไปบัดเดี๋ยวนี้ขอรับ”
คราวนี้มู่เซิงถูกพ่อบ้านที่มีท่าทีอ่อนโยนเสมอมาทำให้ตกใจจึงเอ่ยถามเสียงค่อย “อาจารย์มาฟ้องท่านพ่อเรื่องข้าอีกแล้วใช่หรือไม่”
พ่อบ้านถอนหายใจ “ท่านตามบ่าวไปก็พอขอรับ”
ป้าหลิวคล้ายว่าตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้แล้วเช่นกันจึงส่งสัญญาณบอกให้มู่เซิงหยุดอาละวาด ก่อนจะจูงนางเดินตามหลังพ่อบ้านไป
มู่เฉินหรี่ตาลงน้อยๆ คิดในใจว่าสกุลมู่จะต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นเป็นแน่แท้ แต่ขณะนี้นางไม่มีเวลาให้สนใจว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่ ได้แต่กุลีกุจอตักน้ำกลับไปดูแลมารดา
ห้องโถงใหญ่ของสกุลมู่ มู่ไป่เอินนั่งมุ่นคิ้วอยู่ตรงโต๊ะ ในขณะที่โต้วซื่อนั้นร้องห่มร้องไห้จนผ้าเช็ดหน้าเปียกชุ่มอยู่นานแล้ว
วันที่ท้องฟ้าแจ่มใสปานนี้คนสกุลมู่ไม่มีทางเชื่อได้ลงจริงๆ ว่านกหลวน สีเขียวครามเข้มตัวหนึ่งจะกำลังโฉบไปมาอยู่ในห้องโถงด้านหน้า ประหนึ่งว่ากำลังรอคอยอะไรบางอย่างด้วยความร้อนใจ
บนดินแดนแห่งนี้เคยมีตำนานเกี่ยวกับนกหลวนอยู่นับไม่ถ้วน ทว่ายามที่มันปรากฏตัวจริงๆ พวกเขากลับไม่อยากจะเชื่อ
นี่ก็คือเทวทูตแห่งเขาปี้ลั่วที่อยู่ในตำนานมานับร้อยนับพันปี
มู่เฉินเคยเห็นในถาดทรายห้องหนังสือโดยไม่ตั้งใจ หลังจากเหตุการณ์กบฏแปดอ๋อง ห้าชนเผ่า ลุกฮือก็เป็นเหตุการณ์หายนะหย่งจยา ผู้คนล้มตายเป็นเบือ มาปัจจุบันลั่วหยางและฉางอันถูกข้าศึกยึดครอง ราชวงศ์จิ้นตกต่ำ ทำได้เพียงหลบมาตั้งมั่นอยู่ที่เจี้ยนคังในแถบเจียงจั่ว
ตอนเหนือของแม่น้ำไหวเหอเป็นพื้นที่คุมเชิงกันระหว่างแคว้นฉินและแคว้นเยียน ส่วนทางตะวันตกมีเทือกเขาเหิงเจวี๋ยตั้งขนานไปจนสุดสายแม่น้ำ ด้านตะวันตกของเทือกเขาเชื่อมกับแม่น้ำหวงเฉวียน ทางเหนือเชื่อมกับทะเลทราย ยอดเขาสูงตระหง่านเสียดเมฆ ในสายตาของชาวฮั่นเทือกเขาเหิงเจวี๋ยก็คือปลายทางของแผ่นฟ้าและผืนดิน