นั่นเป็นสถานที่ต้องห้ามที่ไม่เคยมีใครข้ามไป และก็ไม่มีใครจะไปคิดถึงเรื่องว่าที่ด้านหลังภูเขามีสิ่งใดอยู่ ส่วนความศรัทธาและความคาดหวังสูงสุดที่ผู้คนมีต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็สุดอยู่ที่เขาปี้ลั่วเช่นกัน…เขาลูกที่สูงที่สุดในเทือกเขาเหิงเจวี๋ยมีชื่อว่า ‘ปี้ลั่ว’ เล่าลือกันว่ายอดเขาของมันสูงขึ้นไปถึงแดนเซียนบนชั้นเมฆ มีเซียนพำนักอยู่ตลอดทั้งปี
และสถานที่ที่มีเซียนพำนักอยู่ก็ย่อมมีศาสตร์แห่งกษัตริย์
ในตำราบันทึกไว้ว่าทุกๆ ยี่สิบสามสิบปีไปจนถึงสองสามร้อยปีจะมีเทวทูตจากเขาปี้ลั่วลงมายังโลกมนุษย์ คัดเลือกผู้มีความสามารถมุ่งหน้าไปศึกษาศาสตร์แห่งกษัตริย์ยังเขาปี้ลั่ว ในกาลภายหลังหากบ้านเมืองปั่นป่วนก็จะมีอริยปราชญ์ลงมาจากยอดเขา ช่วยยุติความปั่นป่วน ทำให้บ้านเมืองกลับสู่สภาวะปกติ
ทว่ายิ่งมาถึงยุคหลังอริยปราชญ์ที่ว่านั้นก็ยิ่งพบเจอได้ไม่มากแล้ว ท่านล่าสุดปรากฏตัวเมื่อห้าร้อยกว่าปีก่อน เป็นเขาที่ช่วยฉินอ๋องรวบรวมจงหยวน ให้เป็นหนึ่ง สถาปนาราชวงศ์ฉินอันแข็งแกร่งเกรียงไกรอย่างที่ไม่เคยปรากฏที่ใดมาก่อน ปฐมกษัตริย์กุมอำนาจควบคุมใต้หล้า เป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียว น่าเสียดายที่ครองอำนาจได้เพียงไม่นาน
ดูท่าศาสตร์แห่งกษัตริย์เองก็ยังยากจะสร้างความสงบสุขได้ชั่วนิจนิรันดร์…มู่เฉินคิดเยี่ยงนี้
ในช่วงเวลาห้าร้อยกว่าปีมีศึกน้อยใหญ่นับไม่ถ้วน ทว่าไม่มีผู้ใดลงมาจากเขาปี้ลั่วอีกเลย ตำนานเก่าแก่จมอยู่ในกองตำราประวัติศาสตร์จำนวนมหาศาล แม้แต่ผู้อาวุโสที่มีอายุมากที่สุดก็ล้วนบอกต้นสายปลายเหตุออกมามิได้ ผู้คนรู้เพียงว่าเมื่อคนขึ้นเขาปี้ลั่วไปแล้วจะหายไปจากโลกมนุษย์แห่งนี้ ไปแล้วไปลับไม่หวนกลับมา
ไม่มีใครจะคิดถึงว่าในเวลาที่ราชวงศ์จิ้นเจียนจะล้มครืนนี้ ตำนานที่ถูกผู้คนหลงลืมมาหลายร้อยปีจะถึงกับฟื้นขึ้นมาแล้ว และเทวทูตแห่งเขาปี้ลั่วนั้นก็ถึงกับเป็นนกหลวนที่ยากจะพบเห็นได้ในโลก บัดนี้มันมองเห็นมู่เซิงเดินร้องห่มร้องไห้สูดน้ำมูกออกมาจากหลังม่าน จึงกางปีกใหญ่ยักษ์ พุ่งตัวมาถึงเบื้องหน้ามู่เซิงในทันใด ท่าทางคล้ายว่ากำลังดมกลิ่นบนกายนางอย่างละเอียด
มู่เซิงยังไม่ทันหายตกใจจากเรื่องแรกก็ต้องตกใจกับเรื่องที่สอง หวีดร้องต้องการจะผลักนกหลวนออกไปให้พ้น แต่ไม่ว่าทำอย่างไรก็สลัดไม่หลุดจึงร้องเรียกบิดามารดาไม่หยุดด้วยอารามตกใจ
โต้วซื่อเริ่มตะโกนพร้อมกับร่ำไห้คร่ำครวญอย่างสุดจะกลั้น “นี่ข้าทำเวรทำกรรมอะไรมา! เซิงเอ๋อร์ของข้าจะต้องถูกพาตัวไปยังสถานที่ที่แม้แต่คนตายยังไม่กล้าไปแห่งนั้นแล้ว! สวรรค์หนอสวรรค์! เซิงเอ๋อร์มาหาแม่มา พวกเราไม่ไปที่ใดทั้งนั้น ไม่ไปเด็ดขาด…”
มู่เซิงไม่รู้เรื่องรู้ราวแต่อย่างใด นางมองเห็นโต้วซื่อร่ำไห้ก็เพียงใจเสียหนักขึ้น เริ่มร้องไห้โฮ
มู่ไป่เอินมองแม่ลูกคู่นี้แล้วก็เบ้าตาแดงเช่นกัน มองดูผ้าที่นกหลวนคาบมาผืนนั้น ลายมือบนนั้นยังเห็นได้ชัดกระจะตา
‘หวงเหอไม่ผุดแผนภูมิ ลั่วสุ่ยไม่ผุดตำรา
มิมีผู้ใดข้ามฟากฟ้าให้การช่วยเหลือ
สกุลมู่มีธิดาพึงได้ศึกษาพึงได้ปฏิบัติ
นกหลวนจักเป็นพาหนะนำพาไปยังปี้ลั่ว’
มู่ไป่เอินถอนหายใจยาวคำรบหนึ่ง มองบุตรสาวผู้เยาว์วัยอายุเพิ่งได้หกขวบพลางกล่าวว่า “เซิงเอ๋อร์ พ่อไม่ยินดีจริงๆ แต่ราชสำนักทราบข่าวแล้ว บอกมาแล้วว่าต้องการตัวบุตรสาวของสกุลมู่เรา เรื่องนี้…เรื่องนี้จะทำเยี่ยงไรดีเล่า”
“นายท่าน!” โต้วซื่อพลันเปล่งเสียงเรียก สองตาเริ่มคมปลาบปานแท่งเหล็กหมาด “บุตรสาวของสกุลมู่มิได้มีเพียงเซิงเอ๋อร์เสียหน่อย!”
มู่ไป่เอินอึ้งงัน “เจ้าหมายถึง…”
โต้วซื่อตอบอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “หมายถึงสองคนนั้นที่เรือนด้านหลัง!”
มู่ไป่เอินคิดเล็กน้อยก่อนเอ่ยว่า “พ่อบ้าน ไป…ไปเรียกเฉินเอ๋อร์มา!”
ครั้นมู่ไป่เอินพูดเยี่ยงนี้บ่าวไพร่รอบทิศต่างล้วนดีใจ มีเพียงพ่อบ้านวัยกลางคนที่แสดงสีหน้าเจ็บปวด
เขาจำได้ว่าห้าปีก่อนตอนที่อิ่นซื่อยังไม่สิ้นอำนาจโดยสมบูรณ์ ยามนั้นบุตรสาวของเขาเพิ่งจะแต่งงานออกไปไกล ที่แล้วมาทำได้เพียงติดต่อกันผ่านพิราบสื่อสาร กลับคาดไม่ถึงว่ามีวันหนึ่งบรรดาคุณชายผู้ร่ำรวยเล่นยิงธนูกัน จับพิราบสื่อสารได้ก็หมายจะนำลงกระทะ เขามีความทุกข์ที่ยากจะเอ่ยปาก แต่ทว่ามู่เฉินเห็นพิราบตัวนั้นน่าสงสาร ทั้งที่อยู่ในวัยที่ยังเดินได้ไม่มั่นคงกลับฝืนวิ่งลงจากเกี้ยวไปขอพิราบขาวมาคืนให้เขา เวลานั้นนางพูดว่า ‘สรรพสิ่งล้วนมีจิตวิญญาณ พวกเขาทำเยี่ยงนี้ไม่ถูกต้อง พ่อบ้านอย่าได้เสียใจไป เฉินเอ๋อร์ขอพิราบน้อยกลับมาแล้ว พวกเรากลับบ้านไปหาหมอมาดูมันเถิด’
ปีนั้นมู่เฉินเพิ่งอายุได้สี่ขวบ เห็นใครก็มีไมตรีจิตให้ไปเสียหมด ไหนเลยจะคาดคิดว่าใดๆ ในโลกล้วนอนิจจัง นิสัยใจดีปานนั้นถึงกับถูกคนลืมเลือน ห้าปีมานี้นางสุขุมมากขึ้นทุกวัน มิใช่คุณหนูที่อ่อนโยนชอบยิ้มเฉกเช่นในยามนั้นอีกแล้ว คิดมาถึงตรงนี้พ่อบ้านก็ให้สะท้อนใจเหลือประมาณ
โต้วซื่อเห็นเขายังยืนอยู่ที่เดิมก็พูดด้วยโทสะ “ยังไม่รีบไปอีก!”
เขาปาดหางตาเงียบๆ ตอบรับเสียงเบา แล้ววิ่งเหยาะๆ ไปยังเรือนด้านหลัง