คืนเวลาก่อนเกิดมาให้ข้า
กลางห้องเพดานเตี้ยหยาบง่ายในเรือนด้านหลังของสกุลมู่ อิ่นซื่อนอนป่วยอยู่บนเตียง มองดูบุตรสาวทั้งสองที่กำลังเฝ้านางเงียบๆ อยู่ริมเตียงพลางกล่าวยิ้มๆ อย่างอ่อนโยน “รอแม่หายป่วยครานี้แล้วจะพาพวกเจ้าไปหนานเหยา นั่นเป็นบ้านเกิดของแม่ เป็นที่ที่งดงามที่สุดในโลกนี้”
มู่เฉินเผยสีหน้าดีใจแล้วกล่าวว่า “ไปจากที่นี่ตลอดกาลใช่หรือไม่เจ้าคะ”
อิ่นซื่อตอบพร้อมยิ้มน้อยๆ “ขอเพียงพวกเจ้าชอบ แม่อยากให้พวกเจ้ามีชีวิตที่เป็นสุข กลับถึงหนานเหยาแม่ก็จะไปทำละครหุ่นเงา แม้ว่าชาวจงหยวนจะรู้สึกว่านั่นเป็นงานระดับล่าง แต่ชาวแคว้นหนานเหยามิได้เห็นเป็นเช่นนั้น หุ่นตัวเล็กๆ นั่นน่าสนใจยิ่ง พวกเจ้าจะต้องชอบแน่นอน ความนิยมของชาวหนานเหยาก็ไม่เหมือนกับที่นี่ ท่านตาท่านยายของพวกเจ้าทำการค้าเครื่องหยก ทรัพย์สมบัตินับว่ามั่งคั่งเช่นกัน พวกเขาได้เห็นพวกเจ้าจะต้องยินดีมาก”
มู่อวิ่นจือเบิกตาโต ถามอย่างโง่งม “เช่นนั้น…จะไม่ได้พบ…ท่านพ่ออีกแล้วหรือเจ้าคะ”
ด้วยอายุของมู่อวิ่นจือย่อมดูโตไม่เท่ากับพี่สาว อย่างไรก็ยังคงมุ่งหวังความรักใคร่เอ็นดูจากผู้เป็นบิดา
อิ่นซื่อแววตาเหม่อลอย ยังไม่ทันตอบสิ่งใดมู่เฉินกลับแจ้งใจแล้ว เป็นสามีภรรยามาสิบปี อันที่จริงมารดาปล่อยวางไมตรีในอดีตที่มีต่อมู่ไป่เอินไม่ลงโดยสิ้นเชิง มิเช่นนั้นแววตาของนางจะเศร้าสลดหดหู่ปานนี้ได้อย่างไร หากมิใช่เพื่อพวกนางพี่น้อง คาดว่าต่อให้มารดาจะมีชีวิตลำบากเพียงไรก็ไม่ยินยอมไปจากสกุลมู่เป็นอันขาด
มู่อวิ่นจือเห็นมารดามีท่าทางเยี่ยงนี้ก็รีบหยุดปาก เปลี่ยนมากล่าวว่า “ท่านแม่ ขออภัยด้วย วันหลังอวิ่นจือจะไม่เอ่ยถึงท่านพ่ออีกแล้ว”
อิ่นซื่อลูบศีรษะนางแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร แม่ไม่โกรธหรอก”
มู่เฉินเอ่ยขึ้นว่า “อวิ่นจือ ไปแคว้นหนานเหยาแล้วพวกเราก็เล่นหุ่นเงาด้วยกันกับท่านแม่ พี่จะคอยเล่นเป็นเพื่อนเจ้า วสันต์เล่นว่าว เหมันต์ปั้นมนุษย์หิมะ…”
มู่เฉินกล่าวเช่นนี้ แต่ในใจกลับคิดคำนวณถึงบรรดาแว่นแคว้นทางเหนือ หนานเหยา…ถึงแม้จะประสบกับเหตุปั่นป่วน แต่ถ้ามีแว่นแคว้นนี้อยู่จริงก็ควรจะเคยได้ยินผ่านหู ทว่าถึงกับไม่เคยได้ยินมาก่อน หรือว่า…ท่านแม่จะเลอะเลือนไปแล้ว
ในเวลานี้เองพ่อบ้านได้มาเคาะประตู
“คุณหนูเฉิน นายท่านเชิญท่านไปที่โถงด้านหน้าขอรับ”
มู่เฉินคว้ามือมู่อวิ่นจือมากุมไว้แน่นในทันที
มู่อวิ่นจือตกใจ ร้องออกมาเบาๆ เสียงหนึ่ง
ในดวงตาของอิ่นซื่อทอแวววิตกกังวล ถามย้ำว่า “เฉินเอ๋อร์ไปทำอะไรให้พ่อเจ้าไม่พอใจอีกแล้วใช่หรือไม่”
“ลูกเคยไปทำให้เขาไม่พอใจตั้งแต่เมื่อใดกัน” มู่เฉินตอบตามที่ใจคิด ตอบเสร็จแล้วกลับนึกเสียใจว่านี่มิใช่ทำให้มารดาไม่สบายใจไปเปล่าๆ หรือไรจึงรีบพูดว่า “ท่านแม่อย่าเป็นกังวลไป เฉินเอ๋อร์ว่านอนสอนง่าย ไม่เคยก่อเรื่อง ลูกไปประเดี๋ยวเดียวก็กลับแล้วเจ้าค่ะ”
อิ่นซื่อพยักหน้า “พูดจาระมัดระวังหน่อย อย่ามุทะลุบุ่มบ่าม”
“ลูกทราบแล้ว”
หลังเปิดประตู มองเห็นพ่อบ้านมีสีหน้าลำบากใจมู่เฉินก็รู้ว่าตนเองมีเรื่องยุ่งยากเข้าแล้ว นางตั้งสติก่อนเอ่ยว่า “พวกเราไปกันเถิด”
พ่อบ้านชรานึกถึงว่าเมื่อก่อนอิ่นซื่อมีนิสัยอ่อนหวานเป็นกุลสตรี เมตตาปรานีต่อเหล่าบ่าวไพร่เป็นที่สุด จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “มิได้รีบร้อนมากนัก คุณหนู…อยู่สนทนาเป็นเพื่อนฮูหยินอีกสักหน่อยเถิดขอรับ”
ความคิดความอ่านของมู่เฉินละเอียดลออตั้งเพียงใด มีหรือจะไม่รู้ว่าวาจานี้ของพ่อบ้านมีความหมายเช่นไร ใจนางเต้นสะดุดในทันที ถึงกับมีความรู้สึกหวาดกลัวสุดจะหยั่งถึงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“นายท่าน…นายท่านประสงค์ให้ท่านไปเขาปี้ลั่วแทนคุณหนูสาม”
เพิ่งจะพูดจบประตูที่ด้านหลังก็ถูกเปิดออก ร่างเล็กๆ ของมู่อวิ่นจือแทรกออกมาจากในประตู ก่อนจะหันไปหับประตูปิดไว้อีกครั้ง
“พี่หญิง ท่านแม่บอกว่านางไม่ค่อยวางใจ สั่งให้ข้ามาบอกพี่หญิงว่าเสร็จธุระแล้วให้รีบกลับมา”
รู้ว่าคำพูดเมื่อครู่นี้มิได้ถูกพวกนางได้ยินเข้า มู่เฉินก็วางใจได้เล็กน้อยก่อนกล่าวว่า “อวิ่นจือเด็กดี พี่มีเรื่องจะพูดกับเจ้า”
นางจูงมู่อวิ่นจือไปด้านข้าง กำชับกำชาเบาๆ ไม่กี่คำ
พูดจบก็กล่าวกับพ่อบ้านว่า “พวกเราไปกันเถิด”