ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน บทเพลงปณิธาน ตำนานวิหคโผบิน บทนำ-บทที่ 2
มู่เฉินเพิ่งจะเดินมาใกล้ห้องโถงใหญ่ก็ได้ยินเสียงร้องประหลาดเสียงหนึ่งดังออกมาจากด้านใน ถัดจากนั้นเงาร่างสีเขียวครามสายหนึ่งก็พุ่งออกมาอยู่เบื้องหน้ามู่เฉิน
เสียงร้องดังขึ้นอีกครั้ง แผ่วอ่อนแทบจะขาดหาย
มู่เฉินมองนกหลวนสีเขียวครามตัวนี้ด้วยความประหลาดใจ อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปลูบคอของมันอย่างระมัดระวังแล้วเอ่ยถามเสียงเบา “เจ้าคือ…หลวน?”
นกตัวนั้นถึงกับคล้ายว่าฟังภาษามนุษย์เข้าใจ พยักหน้าด้วยท่าทางยินดีปรีดา ก่อนจะถูไถหัวกับมือของนางด้วยท่าทางสนิทชิดเชื้อ
ผู้ตามหลังนกหลวนมาติดๆ คือมู่ไป่เอินและโต้วซื่อ มู่เซิง รวมไปถึงคนรับใช้อีกกลุ่มหนึ่ง
มู่ไป่เอินเห็นนกหลวนตัวนั้นมีท่าทางเป็นมิตรกับมู่เฉิน ในใจก็ให้ผ่อนคลายลงบางส่วน ก่อนจะกล่าวว่า “ราชสำนักมีคำสั่งลงมา เจ้า…เฉินเอ๋อร์ เจ้าก็ตามนกหลวนตัวนี้ไปแล้วกัน”
มู่เฉินพลันตกใจ ทว่า…ไหนเลยจะมีอำนาจคัดค้าน
หัวใจนางเยียบเย็นลงน้อยๆ เงยหน้ามองพวกเขา สายตาเย็นชามองไล่ไปทีละคน
ดีจริง คนมากันครบแล้ว ล้วนมาไล่ข้าไป โลกมนุษย์แห่งนี้สุดท้ายก็เหลือเพียงภาพจำ สามารถเหลือได้เพียงภาพจำอันมีแค้นมากกว่ารัก ไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นความหนาวเย็นใดๆ แก่ข้า ซ้ำความห่วงหาอาทรอันอบอุ่นเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่สุดท้ายในใจนั้น…ยังอยู่ในเรือนด้านหลังที่ไม่มีผู้ใดจะถามไถ่ถึงอีกด้วย
มู่เฉินมองมู่ไป่เอินพลางกล่าวด้วยท่าทางสงบเยือกเย็น “ดูแลท่านแม่กับน้องสาวข้าให้ดี ข้าจะกลับมาภายในสิบปี”
นางพูดได้ราบเรียบ แต่น้ำเสียงกลับหนักแน่น ทำให้มู่ไป่เอินฟังแล้วถึงกับคล้ายว่าตราตรึงใจเขาอยู่หลายส่วน และเมื่อเงาร่างเล็กๆ เยาว์วัยเพียงเก้าขวบนี้ยืนนิ่งๆ อยู่ด้วยกันกับวิหคสีเขียวครามโดยที่สวมชุดผ้าธรรมดาซึ่งถูกซักจนซีดก็ยิ่งกลายเป็นภาพที่หลงเหลืออยู่ในห้วงความจำโดยมิอาจลบเลือนได้เลย
ในชั่วพริบตานี้เองมู่ไป่เอินพลันเกิดความละอายใจและความรู้สึกผิดต่อบุตรสาวที่มิได้พบหน้าเป็นเวลานานผู้นี้ จึงกล่าวเสียงเบา “เฉินเอ๋อร์ต้องการสิ่งใดก็บอกมา ต้องการสิ่งใด…พ่อจะมอบให้เจ้าทั้งสิ้น”
มู่เฉินมองเขาอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะพลันคลี่ยิ้ม…ยิ้มเสียกว้าง แต่กลับเอ่ยวาจาแดกดัน “มอบให้ทั้งสิ้น? เช่นนั้นท่านก็ฟังให้ดี สิ่งที่ข้าต้องการคือ…” นางพลันหุบยิ้ม สีหน้าดูใจเย็นจนใกล้เคียงกับคำว่า ‘น่ายำเกรง’ กล่าวเน้นทีละคำว่า “คืนเวลาก่อนเกิดมาให้ข้า”
สีเลือดบนใบหน้ามู่ไป่เอินสลายหายไปในทันที ฝีเท้าแทบจะซวดเซ
เด็กคนนี้เพิ่งพูดว่าอะไรนะ ‘คืนเวลาก่อนเกิดให้ข้า?’ สิ่งที่ลูกคนนี้ สิ่งที่บุตรสาวของข้าต้องการที่สุดถึงกับเป็นการไม่เคยเกิดมายังโลกใบนี้?
โต้วซื่อพูดด้วยความเดือดดาล “เจ้าตัวบัดซบ! พูดจาโอหัง! ถึงขั้นกล้าพูดกับนายท่านเยี่ยงนี้?!”
ครั้นนางเปล่งวาจานี้ออกมาสิ่งแรกสุดที่มีการตอบสนองกลับเป็นนกสีเขียวครามตัวนั้น มันพุ่งไปหาโต้วซื่อด้วยท่าทางดุร้าย ปีกมหึมาชูสูง หวิดจะทำโต้วซื่อหงายหลังล้มลงกับพื้น โต้วซื่อตกใจจนหน้าซีดเผือด ไม่กล้าพูดอะไรอีก
มู่เซิงที่อยู่ด้านข้างร้องไห้โฮขึ้นมาอีกครั้ง
มู่ไป่เอินรู้สึกเป็นครั้งแรกว่าเสียงร้องไห้นี้ช่างดูน่าหงุดหงิดกว่าทุกทีจึงตวาดเสียงกร้าว “หุบปาก! รู้จักแต่ร้องไห้หรือไร! เปียกน้ำไปทั้งตัว มีที่ใดกัน!”
ถึงกับเป็นมู่เฉินที่เอ่ยปากไกล่เกลี่ย “ท่านพ่ออย่าได้ตำหนิเซิงเอ๋อร์เลยเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้ข้าเห็นจากไกลๆ ว่านางออกมาจากในห้องหนังสือ ในมือยังถือม้วนกระดาษไว้ด้วย จะต้องกำลังเพียรท่องตำราอยู่เป็นแน่ คิดว่านางคงจะลื่น จึงได้เผลอล้มไปเท่านั้นเอง”
มู่เซิงทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง กลับถูกโต้วซื่อห้ามปรามไว้
มู่ไป่เอินมองมู่เฉิน ในใจรู้สึกหวั่นไหว
เทียบบุตรสาวสองคนแล้วเขาถึงได้พลันค้นพบความดีของบุตรสาวผู้นี้
เพียงแต่เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นกะทันหันเกินไป เขาตรึกตรองสิ่งใดไม่ทันทั้งสิ้น
โต้วซื่อรู้ดีแก่ใจว่าตนเองได้ประโยชน์ครั้งใหญ่ ทั้งยังติดที่มีนกสีเขียวครามอยู่ข้างๆ จึงยิ้มสู้พลางว่า “เมื่อก่อนเซิงเอ๋อร์ไม่รู้ความ เจ้าอย่าได้ถือสาหาความนางเลย เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้ผ่านไป”
มู่เฉินแย้มยิ้มพลางกล่าวเสียงเบา “เพลงเซิง สิ้นสุดเพียงชั่วทิวาราตรี ในขณะที่รัศมีแห่งเฉิน ยืนยงเกินพันปี ข้าจะไปถือสานางได้เยี่ยงไร!”
พูดจบสีหน้าของโต้วซื่อก็เปลี่ยนเป็นดูไม่ได้อย่างที่สุดในทันที
เวลานี้มู่อวิ่นจือพลันวิ่งมากอดมู่เฉินไว้ “พี่หญิง พี่หญิงอย่าไป อย่าทิ้งอวิ่นจือ!”
“อวิ่นจือเด็กดี พี่จะกลับมาแน่นอน” นางกอดน้องสาวผู้อ่อนแอตัวเล็กจ้อยคนนี้ตอบ สายตากลับมองมู่ไป่เอิน “อย่าปล่อยให้พวกนางถูกทำร้ายอีกแม้แต่นิดเดียว มิเช่นนั้น…”
มิเช่นนั้น…มู่เฉินเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าจะทำอย่างไร นางเพียงกอดคนตัวน้อยในอ้อมแขนไว้แน่น…กอดไว้แน่นๆ
แต่ท้ายที่สุดก็ยังคงดันตัวมู่อวิ่นจือออก
ไม่มีใครมองเห็นว่าระหว่างที่กอดกันเมื่อครู่นี้มู่อวิ่นจือได้ยัดหนังสือผ้าไหมเดินเส้นทองเข้าแขนเสื้อของมู่เฉินอย่างเงียบๆ ด้วยสองมือที่สั่นเทา
มู่อวิ่นจือน้ำตาคลอจนมองไม่ชัด พูดเสียงเครือว่า “พี่หญิงจะไม่ไปดูท่านแม่สักหน่อยหรือ”
“ไม่จำเป็น”
นกหลวนได้ยินดังนี้ก็หมอบลงเบื้องหน้ามู่เฉิน
มู่เฉินก้าวขึ้นไปนั่ง ชั่วขณะถัดมานกหลวนก็ออกบิน
นางกอดคอนกหลวนไว้แน่น ไม่กล้าเหลียวหลัง น้ำตาไหลรินลงมาอย่างกลั้นไม่อยู่อีกต่อไป น้ำตาที่ไม่ได้ไหลมาร่วมสามปีทำเอาขนบนคอนกหลวนเปียกในทันใด
นกหลวนบินสูงขึ้นเรื่อยๆ เปล่งเสียงร้องเศร้าสร้อยออกมาเป็นระยะ คล้ายว่ากำลังขับขานเพลงเศร้าแด่ความเสียใจของเจ้านายคนใหม่ผู้นี้