ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน บทเพลงปณิธาน ตำนานวิหคโผบิน บทนำ-บทที่ 2
บทที่ 1 ฉางอันแคว้นฉิน
เวลาเจ็ดปีสามารถเกิดเรื่องราวได้มากมาย ในสายตาของมู่เฉินมองเห็นเพียงราชวงศ์ตกต่ำและราษฎรพ้นทุกข์
ความเสื่อมถอยของราชวงศ์จิ้นเริ่มมีมากขึ้นตั้งแต่หลายสิบปีก่อนแล้ว โอรสสวรรค์เลอะเลือนไร้คุณธรรม การปกครองในราชสำนักเลวร้ายลงทุกวัน ระหว่างห้าชนเผ่าเองก็มีข้อพิพาทไม่ขาดสาย หันอาวุธห้ำหั่นติดต่อกันหลายปี
เรื่องที่ใหญ่ที่สุดในเจ็ดปีนี้คือแคว้นเยียนถูกแคว้นฉินทำลาย อดีตผู้ใต้ปกครองแคว้นเยียนล้วนอพยพจากเมืองเยี่ยเฉิงเข้าเมืองฉางอัน ภูเขาสูงสายน้ำทอดไกล มิได้เห็นบ้านเกิดอีกนับแต่บัดนั้น
และปัจจุบันเป็นปีหมูไม้ รัชศกหนิงคังปีที่สามแห่งราชวงศ์จิ้น รัชศกเจี้ยนหยวนปีที่สิบเอ็ดแห่งแคว้นฉิน
มีข่าวลือมานานแล้วว่าในปีนี้ ณ ช่วงเวลาที่ดอกท้อดอกหลี่ ไม่ดึงดูดใจทว่าดอกบัวกำลังผลิบาน จะมีคนลงมาจากเขาปี้ลั่ว นำศาสตร์แห่งกษัตริย์มากำหนดสถานการณ์ใต้หล้า
มีคนทักท้วงอีกว่าเขาปี้ลั่วกลายเป็นสถานที่มรณะไปแล้ว ผู้ที่ขึ้นไปไม่มีผู้ใดรอดชีวิตลงมา
แม้จะว่ากันเยี่ยงนี้ แต่ผู้มีอำนาจกลับยังคงลอบค้นหาคนผู้นี้เป็นการลับ
มู่เฉินที่อายุสิบหกปีกลับมาถึงเจี้ยนคังอีกครั้ง ผู้คนและสิ่งต่างๆ ได้เปลี่ยนไปแล้ว สกุลมู่มิได้รุ่งเรืองเช่นในอดีต เรือนชานเงียบเหงา ตัวเรือนก็ปรากฏร่องรอยชำรุดทรุดโทรม
มู่เฉินเดินมาถึงหน้าประตู ยกมือเคาะประตูใหญ่
ผ่านไปเป็นนานคนชราผู้หนึ่งถึงได้ชะโงกตัวออกมาจากหลังประตูพร้อมกับเสียงประตูไม้ที่เปิดออก “แม่นาง ท่านมาหาผู้ใด”
มู่เฉินจำเขาได้ เขาคือพ่อบ้านผู้อ่อนโยนใจดีคนนั้น คลับคล้ายว่าจะแซ่ซ่ง จอนผมของเขาแซมสีขาวแล้ว แววตาก็ดูขุ่นมัว แต่มู่เฉินยังคงจำเขาได้ในแวบเดียว
“พ่อบ้าน” นางเอ่ยปากถาม “ฮูหยินอยู่หรือไม่ อิ่นฮูหยิน”
พ่อบ้านชราอึ้งงันไป เขาจ้องมองมู่เฉินด้วยความแปลกใจพลางว่า “อิ่นฮูหยินจากโลกไปตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนแล้ว”
มู่เฉินเพียงรู้สึกวิงเวียนศีรษะจนแทบจะยืนไม่อยู่ มารดากับน้องสาวเป็นความห่วงหาเดียวที่นางมีอยู่ในโลกนี้ นางรีบกลับมาอย่างเร่งด่วนเพียงนี้กลับได้รับข่าวเช่นนี้เสียได้
“จากโลกไปแล้ว…” มู่เฉินคว้ากรอบประตูประคองตัวไว้ สองตาแห้งผาก ทั้งยังว่างเปล่า นางถามเสียงเบา “เช่นนั้นอวิ่นจือเล่า นาง…ยังสบายดีอยู่หรือไม่”
คราวนี้พ่อบ้านชรามิได้ตอบคำถามของมู่เฉิน แต่ก้าวมาข้างหน้าสองสามก้าวด้วยอารามตื่นเต้น มองนางอย่างละเอียด “ท่านคือ…คุณหนูเฉิน?” ครั้นเขาได้พูดออกมาก็ยิ่งเป็นการยืนยันความคิดของตนเอง ในดวงตาทั้งสองที่ขุ่นมัวมีละอองน้ำผุดขึ้นมา “ท่านกลับมาแล้ว! มาเถิด รีบตามบ่าวเข้าจวนเถิดขอรับ”
พ่อบ้านชราหลีกทางให้ รอมู่เฉินเดินเข้าจวนแล้วก็วิ่งเหยาะๆ นำทางไป เขาคิดจะพุ่งเข้าไปตะโกนป่าวร้องข้างในห้อง แต่กลับถูกมู่เฉินห้ามไว้ “เรื่องที่ข้ากลับมาอย่าได้ป่าวประกาศไปเป็นอันขาด”
พ่อบ้านชราพยักหน้า “ขอรับ มีข่าวลือตั้งแต่เดือนก่อนแล้วว่าท่านจะกลับมา คนมากมายล้วนไม่เชื่อ…ทว่าตั้งแต่พักก่อนจู่ๆ ฝ่าบาทก็ทรงเรียกนายท่านเข้าวังอยู่หลายหน ใต้เท้าเซี่ยเองก็ขยันมาเยือนทางนี้…”
มู่เฉินก้าวเข้าห้องโถงใหญ่อีกครั้ง มีบ่าวยกน้ำยกชามาให้ ต้อนรับขับสู้อย่างอบอุ่นยิ่งยวด ซึ่งนางไม่เคยได้รับการปฏิบัติเยี่ยงนี้ในสกุลมู่มาก่อน
มู่ไป่เอินและโต้วซื่อเดินตามกันเข้ามา ครั้นมองเห็นมู่เฉินที่นั่งเรียบร้อยอยู่ตรงนั้นก็ต่างพิพักพิพ่วนอยู่บ้าง นางสวมชุดสีเขียว เรือนผมยาวเกล้าไว้ครึ่งหนึ่ง เอียงศีรษะน้อยๆ มองมายังพวกเขา แววตานั้นเย็นชาคล้ายกับวันที่นางจากไปเมื่อเจ็ดปีก่อน
มู่ไป่เอินเอ่ยเรียกอย่างงกๆ เงิ่นๆ “เฉินเอ๋อร์…”
มู่เฉินถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น “แม่ข้าตายได้อย่างไร”
“เป็นเพราะป่วย…ป่วยตาย”
สายตามู่เฉินกวาดมองไปยังโต้วซื่อ นางเห็นสองตาโต้วซื่อบวมแดงคล้ายเพิ่งผ่านการร้องไห้มา
โต้วซื่อตอบเสียงเบา “ป่วยตายจริงๆ ในตอนหลังนายท่าน…ดีต่อแม่เจ้ามาก”
“คุณหนู บ่าวเป็นพยานได้ขอรับ” พ่อบ้านชราค้อมตัวกล่าวว่า “ในปีนั้นพอท่านจากไป นายท่านก็ย้ายฮูหยินใหญ่มาเข้าพักในเรือนใหญ่แล้ว ต่อมาได้เชิญหมอจำนวนมากมาตรวจดูอาการ แต่ฮูหยินใหญ่ป่วยมานานจนร่างกายอ่อนแอ หมดหนทางเยียวยารักษา”
มู่เฉินเชื่อใจพ่อบ้านชรา รู้ว่าเขาไม่มีทางโป้ปด แต่เหตุใดอิ่นซื่อจึงป่วยมานานจนไม่มีใครรักษาหาย นั่นมิใช่ล้วนเป็นเพราะสกุลมู่หรือไร
มู่เฉินถามอีกว่า “อวิ่นจือเล่า”
มู่ไป่เอินกับโต้วซื่อแสดงสีหน้ากระอักกระอ่วน มู่ไป่เอินตอบงึมงำ “ตาม…จากแคว้นฉินไปแล้ว”
“ไปเป็นอนุผู้อื่นแล้ว!” เสียงสตรีแฝงแววเดือดดาลลอยมาจากหน้าประตู ตามติดมาด้วยสาวน้อยในชุดกระโปรงสีแดงอ่อนนางหนึ่งเดินเข้ามาจับโต้วซื่อไว้แล้วเริ่มขอร้อง “ท่านแม่ เมื่อครู่นี้ยังคุยกันไม่จบไยท่านก็จากมาแล้ว ข้าไม่อยากแต่งงานกับเจ้าคนล้างผลาญจากสกุลเหลียงนั่น!”
“เงียบปาก!” มู่ไป่เอินตวาดนางเสียงกร้าว “ไม่เห็นหรือว่าพี่สาวของเจ้าอยู่ตรงนี้ ยังไม่รีบคารวะอีก?!”
“พี่สาว?” คราวนี้มู่เซิงถึงค่อยสังเกตเห็นมู่เฉินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ “นางนับเป็นพี่สาวทางใดกัน”
มู่ไป่เอินโมโหยิ่งยวด “เจ้า…”
โต้วซื่อยิ้มปะเหลาะใส่มู่เฉิน ก่อนอธิบายกับมู่เซิงว่า “นี่คือเฉินเอ๋อร์ ตอนที่นางจากไปเจ้ายังเล็กอยู่ แต่ก็ควรจะจดจำได้”
คราวนี้มู่เซิงถึงได้มองมู่เฉินอย่างตั้งใจรอบหนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เจ้ามาหามู่อวิ่นจือ? น่าเสียดายที่สายไปก้าวหนึ่ง มิเช่นนั้นคงจะได้เห็นท่าทางไม่รู้จักยางอายนั่นของนางแล้ว”
มู่เฉินเผยสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้าพูดอะไร”