ครึ่งเดือนต่อมา
ณ ฉางอัน เมืองหลวงแคว้นฉิน
ท่ามกลางภัยพิบัติ ความเจริญ ความเสื่อมโทรม อีกทั้งความผกผันในช่วงเวลาสองสามร้อยปี ตำหนักเว่ยยางถูกทำลายหลายครั้ง หลังผ่านการบูรณะหลายหนหมู่ตำหนักยังคงตั้งตระหง่านน่ายำเกรงอยู่เช่นเดิม หอศาลารายเรียงคดเคี้ยว มองไปทางใดก็เห็นเพียงความตระการตา
รถม้าคันหนึ่งกำลังแล่นผ่านประตูใหญ่ทิศใต้อย่างเชื่องช้า ทันใดนั้นรถม้าก็หยุดกึก สตรีในรถม้าพลันพุ่งถลาไปข้างหน้า นางจึงเปิดม่านถามว่า “เกิดอะไรขึ้น”
คนขับรถม้าตอบว่า “แม่นาง ข้างหน้ามีคนทะเลาะกัน ดูเหมือนจะเป็นบุตรสาวจากตระกูลใหญ่”
สตรีผู้นั้นมองไป เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นสตรีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับตนเอง แต่งกายหรูหรา กิริยาท่าทางเพียงเห็นก็รู้ว่ามิใช่ชาวบ้านทั่วไป
คนขับรถม้าพลันตบศีรษะก่อนเอ่ยว่า “นี่คือบุตรสาวสกุลโต้ว! คุณหนูผู้นี้ไม่น่ามีเรื่องด้วย ดูอารมณ์ที่ฉุนเฉียวนั่นเถิด มิรู้ว่าผู้ใดเคราะห์ร้ายพบกับนางเข้า”
ฝูเจียนมีแม่ทัพผู้แข็งแกร่งอยู่ใต้ปกครองจำนวนมาก โต้วชงเป็นหัวหน้ากองราชองครักษ์ประจำตัวของเขา ได้รับการชื่นชมจากฝูเจียนเป็นอย่างสูง ฝูเจียนถึงขั้นรับน้องสาวของเขาเป็นพระธิดาบุญธรรม
สตรีผู้นั้นตรึกตรองเล็กน้อย ก่อนจะได้ความคิด
นางให้คนขับรถม้าจอดรถม้า แล้วนางก็ลงจากรถม้าเดินไปหาบุตรสาวสกุลโต้วผู้นั้น
เพิ่งจะเดินเข้าไปใกล้ก็ได้ยินบุตรสาวสกุลโต้วพูดเสียงดังอยู่ตรงนั้นว่า “เจ้าคนนี้ช่างเกะกะระรานไร้เหตุผล ชนจนปิ่นข้าเสียหายแท้ๆ ยังจะบอกว่าข้าไม่ระวังเองอีก!”
ฝ่ายตรงข้ามเป็นชายฉกรรจ์ตัวใหญ่เอวหนาผู้หนึ่ง เขาโวยวายว่า “แม่นาง ข้าค้าขายของข้าอยู่ตรงนี้ดีๆ เป็นท่านมาชนข้าเองชัดๆ!”
“ข้าไม่สน เจ้าต้องขออภัยข้า ชดใช้ปิ่นให้ข้า มิเช่นนั้นข้าจะให้คนมาจับตัวเจ้า!”
สตรีผู้นั้นมองปิ่นที่บุตรสาวสกุลโต้วกำไว้ในมือปราดหนึ่ง ก่อนก้าวไปกล่าวว่า “แม่นาง ให้ข้าดูปิ่นในมือท่านสักหน่อยได้หรือไม่ ข้าอาจจะซ่อมมันได้”
บุตรสาวสกุลโต้วมองนางด้วยความคลางแคลง ก่อนยื่นปิ่นมาให้แล้วว่า “หากซ่อมได้ข้าจะตกรางวัลแก่เจ้าอย่างหนัก!”
สตรีผู้นั้นรับปิ่นมาพินิจดูอย่างละเอียด ปิ่นนี้ทำจากเส้นทองแดงถัก มิได้ดูมีราคาค่างวดเสียเท่าไร แต่ล้ำค่าตรงฝีมือถักอันประณีตบรรจง ผีเสื้อที่ส่วนยอดละเอียดลออพิถีพิถัน บัดนี้เส้นทองแดงถูกกระแทกจนคลายตัว รูปร่างส่วนปลายผิดรูปทรงไปแล้ว แต่ใช่จะไร้ทางแก้เสียทีเดียว
นางรื้อเส้นทองแดงที่คลายตัวออกมาทีละเส้นแล้วลงมือถักใหม่ ไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา ปิ่นก็กลับคืนสภาพเดิมกว่าค่อนแล้ว
บุตรสาวสกุลโต้วพูดขึ้นด้วยอารามปีติยินดี “เจ้าเก่งโดยแท้!”
สตรีผู้นั้นคืนปิ่นให้บุตรสาวสกุลโต้ว ก่อนเอ่ยว่า “มิอาจคืนสภาพดังเดิมได้ทุกกระเบียดนิ้ว แต่เช่นนี้ก็ไม่น่าเกลียดแล้ว บัดนี้มีเวลาน้อยนัก หากมีโอกาสข้าจะถักอันใหม่ให้ท่าน”
“จริงหรือ” นางคล้องแขนของสตรีผู้นั้นไว้ด้วยความดีใจ “พี่สาว ข้ามีนามว่าโต้วหวั่นเอ๋อร์ ท่านมีนามว่าอะไร”
สตรีผู้นั้นเห็นโต้วหวั่นเอ๋อร์มีท่าทางเยี่ยงนี้ก็รู้ว่าเรื่องอารมณ์ฉุนเฉียวที่ว่ากันนั้นเป็นเพียงอุปนิสัยเยี่ยงเด็กน้อยเท่านั้นจึงกล่าวว่า “ข้ามีนามว่าชิงหลวน ขอกล่าวละลาบละล้วงสักคำ อันที่จริงสีของปิ่นนี้ทำให้ท่านดูมีอายุไปสักหน่อย แม่นางโต้วปากแดงฟันขาว หากเปลี่ยนเป็นสีที่นุ่มนวลลงหน่อยจะยิ่งขับให้รูปโฉมงดงาม”
โต้วหวั่นเอ๋อร์ฟังวาจาครึ่งแรกแล้วไม่ใคร่ชอบใจนัก แต่เมื่อชิงหลวนกล่าววาจาครึ่งหลังจบนางก็คลี่ยิ้มพลางกล่าวว่า “บ้านท่านอยู่ที่ใด ข้ามีเวลาจะไปหาท่าน!”
ชิงหลวนตอบ “ข้าเป็นชาวแคว้นหนานเหยา บากหน้ามาพึ่งพาญาติยังแคว้นฉิน”
“หนานเหยา? ไม่เคยได้ยินเลย เช่นนั้นก็ไม่ขอทำให้ท่านเสียเวลาไปหาญาติแล้ว” โต้วหวั่นเอ๋อร์กล่าว “ข้าอาศัยอยู่ที่จวนสกุลโต้วบนถนนฉางอัน ท่านหาญาติพบแล้วจะต้องมาหาข้าและสอนข้าถักปิ่นสวยๆ ด้วยเล่า! หากพบความยุ่งยากใดก็ต้องมาหาข้านะ!”
ชิงหลวนพยักหน้า “ขอบคุณในความหวังดีของแม่นาง วันหน้าข้าจะต้องไปเยี่ยมเยียนอย่างแน่นอน”
โต้วหวั่นเอ๋อร์เตรียมตัวจะจากไป แต่จู่ๆ ก็หันมาจับแขนชิงหลวนไว้ “ท่านเพิ่งมาถึงฉางอัน จะต้องไม่เคยเห็นงานเทศกาลโคมบุปผาของพวกเราเป็นแน่ คืนนี้มาที่ถนนฉางอัน ข้าจะพาท่านไปเดินเที่ยว”
“งานเทศกาลโคมบุปผา?”
“ใช่แล้ว ต้องมาให้ได้เชียว!”