ในคืนเดียวกันคนทั้งหลายพักผ่อนกันที่จุดพักม้า
ระหว่างที่มู่เฉินกำลังสะลึมสะลือก็พลันได้ยินเสียงเหมือนนกร้องอันคุ้นเคย นางสะดุ้งตื่นทันควัน
มู่เฉินเดินไปข้างหน้าต่างแล้วเปิดหน้าต่างออกดู ที่ด้านนอกมีคนยืนอยู่จริงๆ อีกฝ่ายสวมชุดตัวใหญ่หนาและสวมหมวก ทั้งใบหน้าล้วนซ่อนอยู่ในม่านดำมืด
“ศิษย์พี่ชิงเหริน!”
ชิงเหรินถอดหมวกลง เผยใบหน้าสาวน้อยที่งดงามเหนือสามัญออกมา “ศิษย์น้องมู่เฉิน ไม่ได้พบกันนานทีเดียว”
“ศิษย์พี่ชิงฉือยังสบายดีหรือไม่”
“ไม่รู้สภาพช่วงนี้เลย” ชิงเหรินมองมู่เฉินพลางกล่าวเรียบๆ “เจ้ารับคำสั่งอาจารย์ลงเขามาเลือกผู้มีความสามารถแล้วช่วยเหลือเขา ตอนแรกพูดเสียดิบดีว่าหากไม่ใช่ซือหม่าเย่าก็เป็นฝูเจียน หลังเจ้าได้ไปเยี่ยมมารดาแล้วมิใช่ควรตัดสินใจแล้วหรือไร เหตุใดต้องมุ่งหน้าไปผิงหยางกับมู่หรงชงด้วย”
มู่เฉินเงียบครู่หนึ่งก่อนตอบว่า “ข้าเลือกเขาแล้ว ศิษย์พี่ลืมไปแล้วหรือว่าตอนแรกพวกเราคุยกันว่าราชวงศ์จิ้น แคว้นฉิน และอดีตแคว้นเยียนต่างเป็นฝักเป็นฝ่าย ซึ่งบัดนี้ราชวงศ์จิ้นมีเซี่ยอัน แคว้นฉินมีหวังเหมิ่ง พวกเขาล้วนเป็นคนมีคุณธรรม ไม่ว่าพวกเขาทำอะไรพวกเราล้วนไม่ควรแทรกแซง กลับเป็นแคว้นเยียนเสียอีกที่แม้ว่าบัดนี้แว่นแคว้นจะถูกทำลาย ชนรุ่นหลังแตกฉานซ่านเซ็น แต่ความแค้นในใจพวกเขาไม่เคยลดน้อยถอยลงเลย สกุลมู่หรงแห่งเผ่าเซียนเปยที่เข้มแข็งเช่นนี้ ถ้าเกิดมีวันหนึ่งกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง กลายเป็นกลุ่มอำนาจสามแคว้นร่วมกันกับแคว้นฉินและราชวงศ์จิ้นอีกครั้ง…”
ชิงเหรินตัดบท “เช่นนั้นเจ้าก็ควรเลือกมู่หรงฉุย กล่าวถึงเล่ห์กล กล่าวถึงพิชัยสงคราม กล่าวถึงยุทธวิธี เขามีสิ่งใดเทียบกับมู่หรงฉุยได้บ้าง” เสียงของชิงเหรินยังคงราบเรียบ “หรือเจ้าเชื่อจริงๆ ว่าเขาเห็นแก่ประชาราษฎร์”
มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึก หาได้ตอบคำถามไม่
ชิงเหรินถอนหายใจ “เฉินเอ๋อร์ เจ้าชอบคิดเองเออเองมาตั้งแต่เล็ก อาจารย์สั่งเสียให้ช่วยเหลือกษัตริย์ผู้มีปณิธานกว้างไกลท่ามกลางยุคสมัยที่บ้านเมืองปั่นป่วน บัดนี้เจ้าทำตรงข้ามกันแล้ว”
มู่เฉินก้มหน้าลงกล่าวว่า “ศิษย์พี่ ข้าน่าจะ…ไม่ได้มองคนผิด”
ชิงเหรินถอนหายใจ “ช่างเถอะ เจ้าเลือกคนเองก็เดินต่อไปให้ดีแล้วกัน ตอนที่อาจารย์จากไปสถานการณ์หาได้เป็นเช่นปัจจุบันไม่ ในเมื่อบัดนี้มีเหตุพลิกผันแล้วข้ากับชิงฉือจึงลงเขามาด้วยกัน”
“ศิษย์พี่ชิงฉือก็ลงเขามาด้วย?”
“ป่านนี้นางอาจจะไปถึงเจียงจั่วแล้ว และหลังจากข้ามาพบเจ้าก็จะไปฉางอัน” ชิงเหรินตรึกตรองเล็กน้อย “พวกเราสัญญากันเป็นเวลาสิบปีเป็นอย่างไร อีกสิบปีใต้หล้าจะเป็นของผู้ใดย่อมจะได้รู้ชัดกัน”
มู่เฉินพยักหน้า “ตกลง สิบปี”
“เฉินเอ๋อร์ อย่าหาว่าข้าปากมากเลย จำไว้ให้ดี ความจริงของศาสตร์แห่งกษัตริย์…มิอาจบอกให้ผู้ใดล่วงรู้”
“ขอสัญญา”
ครั้นมองดูแผ่นหลังของชิงเหรินหายลับไปท่ามกลางความมืด มู่เฉินก็ผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ หลังพิงผนัง ครุ่นคิดอยู่เป็นนานสองนาน
ศาสตร์แห่งกษัตริย์
บนโลกนี้ไม่มีศาสตร์แห่งกษัตริย์โดยสิ้นเชิง
…นั่นเป็นเพียงคำเล่าลือที่มีคนกุขึ้นในระหว่างที่บรรดาชาวบ้านอยู่ท่ามกลางจลาจลและความทุกข์ทรมานมาอย่างยาวนาน
บรรดาชาวบ้านปรารถนาจะได้รับการช่วยเหลือ ในขณะที่บรรดากษัตริย์ปรารถนาจะใช้ประโยชน์ จึงมีผู้ที่คำนึงถึงใต้หล้าคิดยืมกำลังขุมนี้ไปมอบความเชื่อใจ ไปผลักดันอำนาจให้ผู้อื่น
มู่เฉินเมื่อเจ็ดปีก่อนคิดอย่างไร้เดียงสาว่าขอเพียงเล่าเรียนสำเร็จกลับมาก็จะทำให้ใต้หล้าสั่นสะเทือนได้
ทว่านางผิดไปแล้ว ผิดไปไกลยิ่งยวด ใต้หล้าที่ไม่เป็นปึกแผ่นนี้ไม่มีผู้ใดสามารถกอบกู้หรือทลายลงได้ มันเดินหน้าอยู่ตลอดด้วยเส้นทางของตัวมันเอง ส่วนสิ่งที่พวกนางควรทำก็คือไปใกล้ชิดผู้ที่อยู่บนปลายยอดอำนาจเหล่านั้น คิดหาวิธีทำให้พวกเขาละทิ้งศาสตร์แห่งกษัตริย์ แล้วจดจำไว้เพียง…ปณิธานกว้างไกล
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 3 ก.ค. 67