หลังบอกลามู่หรงหงแล้วพวกนางก็ออกเดินทาง มู่หรงชง มู่เฉิน และชุนหยานั่งในรถม้าคันเดียวกัน
เดินทางมาได้สองสามวัน มู่หรงชงไม่ค่อยมีชีวิตชีวามาโดยตลอด เขามักจะก้มหน้าพักสายตา ไร้สุ้มเสียง คล้ายว่าหลับไปจริงๆ
จวบจนเวลาเที่ยงวันรถม้าจอดหยุดพัก ชุนหยาถือเสบียงเดินมา ทางหนึ่งไม่กล้าปลุกมู่หรงชง แต่อีกทางก็กลัวเขาจะหิว ให้ลำบากใจยิ่งยวด
มู่เฉินกล่าวว่า “ให้เขานอนอีกสักพักเถอะ”
ทว่ามู่หรงชงได้ยินดังนี้กลับเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย
ชุนหยากล่าวว่า “ที่แท้ท่านอ๋องก็มิได้นอนหลับ รีบกินสักหน่อยนะเจ้าคะ มิได้กินอะไรมาตลอดทั้งเช้าแล้ว”
ในแววตาของมู่หรงชงมีประกายงุนงงคล้ายยังตื่นไม่เต็มตา เขารับอาหารและน้ำจากชุนหยามากินคำเล็กๆ ด้วยท่าทางคล้ายยังไม่ค่อยมีสติ
มู่เฉินถาม “ท่านกำลังคิดอะไร”
มู่หรงชงมองนางปราดหนึ่ง ทว่าก็ตอบตามตรง “สกุลมู่หรงแห่งเผ่าเซียนเปยมิใช่ผู้ปกครองใต้หล้าที่ถูกต้องตามเชื้อสาย แต่ก็เคยพยายามยึดครองจงหยวน ชูธงมังกร สวมฉลองพระองค์ฮ่องเต้ ย้อนคิดถึงแผ่นดินที่บรรพบุรุษลำบากลำบนยึดมาได้ ชนรุ่นหลังอย่างพวกข้า…กลับรักษาไว้ไม่ได้”
มู่เฉินครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนว่า “ในใจท่านรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมอย่างยิ่งยวดกระมัง”
“จะรู้สึกยุติธรรมได้อย่างไร”
มู่เฉินกำลังจะพูดที่ด้านนอกกลับมีเสียงเอะอะดังมา
“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!”
“หากยังหนีพวกข้าจะตัดขาพวกเจ้าให้ขาด!”
“รีบส่งเสบียงมา!”
ชุนหยาแหวกม่านหน้าต่างออกดูก็พูดด้วยความตกใจทันที “โจร!”
มู่หรงหย่งที่อยู่ด้านนอกพูดว่า “นายท่าน ที่ด้านนอกมีคนสองฝ่ายกำลังต่อสู้กัน พวกเราอ้อมไปกันเถิด!”
“ได้”
รถม้ากำลังจะออกตัว มู่เฉินกลับพลันกล่าวว่า “หยุดก่อน!”
มู่หรงชงส่งสายตาข้องใจมา
มู่เฉินจึงว่า “มิใช่การต่อสู้ธรรมดา เป็นโจรปล้นชาวบ้าน!”
นางว่าพลางทำท่าจะลงจากรถม้า กลับถูกมู่หรงชงดึงตัวไว้ “มิใช่โจรกับชาวบ้าน แต่เป็นผู้ประสบภัยกับผู้ประสบภัย ระหว่างทางที่ข้ามาก็ได้ประสบอยู่หลายระลอก เก็บเกี่ยวไม่ได้ผล กินไม่อิ่มท้อง จึงได้แต่ปล้นสะดม”
มู่เฉินถาม “ท่านจึงนิ่งดูดาย?”
“มิใช่เรื่องที่ข้าจะยุ่งได้” มู่หรงชงตอบ “ใต้หล้านี้วุ่นวายมาหลายสิบปีแล้ว คนในเผ่าเข่นฆ่ากันเอง ผู้อ่อนแอเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง เห็นบ่อยครั้งจนไม่รู้สึกแปลกแล้ว ใครจะยังมัวสนใจได้ สวรรค์มิได้โหดร้าย ชาวบ้านหาเรื่องใส่ตนเอง!”
มู่เฉินกล่าว “ถึงจะเป็นเช่นนี้ สองตานี้ของข้ามองเห็นแล้วก็มิอาจทำเหมือนว่าไม่เห็นได้!”
นางดิ้นหลุดจากมือของมู่หรงชงแล้วเปิดประตูลงจากรถม้า แต่กลับถูกเขารั้งไว้อีก
“นี่เจ้าทำอันใด จะบีบให้ข้าไปใช่หรือไม่…หมดปัญญากับเจ้าเสียจริงๆ” มู่หรงชงดึงนางขึ้นรถม้า กล่าวกับมู่หรงหย่งว่า “เจ้าไปจัดการที!”
“ขอรับ!”
เพียงครู่เดียวมู่หรงหย่งก็กลับมารายงานว่าแบ่งเสบียงส่วนหนึ่งให้แก่ผู้ประสบภัยแล้วไล่พวกเขาให้กลับไปแล้ว
มู่เฉินค่อยสบายใจได้เล็กน้อย ลอบมองมู่หรงชง นึกว่าเขาจะมีสีหน้าไม่พอใจ แต่มิได้เป็นเช่นนั้น เขาเพียงแต่นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสงบ ใบหน้าไร้ระลอกคลื่นใด
ไม่กี่วันให้หลังมู่เฉินก็เข้าใจในที่สุดว่าความเงียบของมู่หรงชงหมายความว่าอะไร ผู้ประสบภัยมีมากเกินไป ปรากฏตัวแทบจะทุกไม่กี่ชั่วยาม เสบียงของพวกนางมีไม่พอแบ่งโดยสิ้นเชิง ถึงจะจ่ายเงินให้ได้ก็ยังซื้อเสบียงไม่ได้…
มู่หรงชงกล่าว “ใต้หล้าเป็นหนึ่งไม่ได้ วันเวลาที่ราษฎรมิอาจอยู่รอดได้นี้ก็ไม่มีทางสิ้นสุดลง ความเห็นใจของเจ้าไม่เพียงพอโดยสิ้นเชิง” เขาพูดจบก็สั่งมู่หรงหย่งให้เก็บเสบียงไว้ให้พอสำหรับวันที่เหลือ แล้วมอบเสบียงที่เหลือทั้งหมดแก่ผู้ประสบภัย
มู่เฉินเหม่อมองฟากฟ้าไกลพลางกล่าว “แล้วที่ท่านทำอยู่นี่นับเป็นอะไรอีก”
“ก็แค่ทำเรื่องที่มนุษย์พึงทำ”
มู่หรงชงพูดจบก็ขึ้นไปนั่งบนรถม้า ห่มผ้าของตนเอง ก่อนหลับตานอน