บทที่ 2 หอบุปผชาติอีผิ่น
อากาศปีนี้พิลึกพิลั่นเป็นที่สุด ปลายฤดูใบไม้ร่วงถึงกับมีหิมะตก เกล็ดหิมะกองใหญ่ปกคลุมทั่วทั้งเมืองผิงหยางแทบจะทันที คล้ายเป็นสัญญาณบอกว่านับแต่บัดนี้เป็นต้นไปเรื่องบางเรื่องจะเปลี่ยนไปในอีกทิศทางหนึ่ง
มู่หรงชงนั่งอยู่ที่ระเบียงทางเดิน บนโต๊ะเล็กทางด้านหน้ามีกระดานหมากที่ค้างมาจากเมื่อวานวางอยู่
มู่หรงหย่งมองทางเล็กที่ด้านหน้าพลางกล่าวว่า “วันนี้แม่นางมาสายแล้ว”
เพิ่งจะพูดจบก็มีเงาร่างหลายร่างปรากฏขึ้นที่ทางเลี้ยว มู่เฉินห่อตัวด้วยเสื้อคลุมตัวหนา ที่ด้านหลังคือชุนหยากับจิ่นเหยียนเซิ่นสิงเด็กสาวทั้งสอง สี่นายบ่าวเดินมาบนทางเล็กที่มีหิมะสะสมเป็นชั้นหนาพร้อมกับปลอกอุ่นมือดุจเดียวกัน
มู่หรงชงพลันกล่าวขึ้นว่า “อาหย่ง เจ้าเองก็ย้ายไปฉางอันในปีเดียวกับข้าเช่นกันกระมัง”
มู่หรงหย่งไม่รู้ว่าไฉนเขาจึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ปีนั้นก็เป็นฤดูหนาวเหมือนเช่นนี้ เผ่าเซียนเปยสี่หมื่นกว่าครัวเรือนย้ายไปยังฉางอัน เขาตอบเสียงค่อย “ใช่แล้วขอรับ จำได้ว่าปีนั้นหิมะตกหนักมาก ยังนึกว่าจะตายไประหว่างทางแล้วด้วยซ้ำ”
ท่านปู่ของเขาคือท่านอาของฮ่องเต้เหวินหมิงมู่หรงฮ่วง นับว่าเป็นเชื้อสายสาขาหนึ่งของราชวงศ์ รัชศกเจี้ยนหยวนปีที่หก หลังชาวเซียนเปยถูกย้ายไปฉางอัน คนส่วนใหญ่ล้วนตกเป็นทาส มีเพียงราชวงศ์สายตรงอย่างมู่หรงชงจึงจะได้รับการปฏิบัติที่ค่อนข้างดี
มู่หรงชงกล่าว “เจ้าคิดว่าชุนหยาเป็นอย่างไร”
มู่หรงหย่งเบิกตาโต “หือ?”
มู่หรงชงมองเขาปราดหนึ่ง “ข้ายกชุนหยาให้เจ้าดีหรือไม่”
มู่หรงหย่งอึ้งงันไป “นายท่าน ข้ามีภรรยาแล้ว”
มู่หรงชงเผยความข้องใจเล็กๆ “อ้อ?”
มู่หรงหย่งพลันตาแดง “ระหว่างทางไปฉางอันนั่นล่ะ ท่านพ่อข้าป่วยหนัก ก่อนจากไปได้ให้ข้าแต่งงาน”
พอบอกเช่นนี้มู่หรงชงก็พอจะจำได้แล้ว
มู่หรงหย่งเล่าต่อว่า “ข้ากับนางเดิมทีไม่คุ้นเคยกัน เวลานั้นอายุยังน้อยจึงไม่รู้ว่าควรใช้ชีวิตกันอย่างไร เมื่อถึงฉางอันนางก็ขายรองเท้าด้วยกันกับข้า ฤดูหนาวมักจะมือเย็นจนแตก ต่อมารวบรวมเงินได้จึงซื้อปลอกอุ่นมือให้นาง แต่ใช้ได้ไม่กี่วันนางก็จากโลกนี้ไปแล้ว” เขาพูดถึงตรงนี้เสียงก็เจือสะอื้น “ข้าจำได้เสมอว่าก่อนจากไปนางกอดปลอกอุ่นมือนั้นไว้พร้อมกับบอกว่าชอบมากๆ…”
พอเห็นพวกมู่เฉินเดินมาใกล้มู่หรงหย่งก็หยุดพูด
บนหน้ามู่หรงชงปรากฏแววงุนงงเล็กๆ เขามองมู่หรงหย่งที่ดวงตาแดงก่ำ ไร้คำใดจะกล่าวไปชั่วขณะ
มู่หรงหย่งรีบทำความเคารพแล้วหมุนตัวเดินจากไป
มู่เฉินถามขึ้นด้วยความแปลกใจ “อาหย่งเป็นอะไรไป”
“นึกถึงเรื่องเสียใจบางเรื่อง ปล่อยเขาไปเถอะ” สายตามู่หรงชงเลื่อนไปอยู่บนกระดานหมาก “คิดไปคิดมา ไม่รู้จะเดินตาถัดไปอย่างไร ข้าแพ้แล้ว”
มู่เฉินยิ้มพลางก้าวมาหยิบหมากดำเม็ดหนึ่งวางลงไปก่อนว่า “อย่าเอาแต่คิดจะตัดทางข้าสิ ทำให้ด้านหลังของตนเองมั่นคงแล้ว ข้ามิใช่จะไม่มีที่ให้แทรกแล้วหรือไร”
มู่หรงชงพูดอย่างแจ้งใจ “เป็นเช่นนี้นี่เอง หากกล่าวถึงความเฉียบแหลมสุดท้ายแล้วชาวฮั่นอย่างพวกเจ้าก็ยังชนะอยู่ก้าวหนึ่ง”
มู่เฉินกล่าว “เป็นท่านมีฝีมือสู้ข้าไม่ได้เองแท้ๆ กลับโทษสายเลือดเสียนี่ เล่นอีกกระดานหรือไม่”
“ไม่แล้ว วันนี้ยังมีธุระ” มู่หรงชงลุกขึ้นยืน “เจ้าออกไปข้างนอกเป็นเพื่อนข้าที ชุนหยาพวกเจ้าสามคนไม่ต้องตามไป”
“เจ้าค่ะ!”
“ไปที่ใดหรือ” มู่เฉินถามมู่หรงชง
“หอบุปผชาติอีผิ่น”