นอกห้อง หิมะหยุดตกแล้ว กลางลานเรือนขาวโพลน จิ่งสิงลงจากหลังม้า สะบัดเสื้อคลุมกันลมเล็กน้อย เกล็ดหิมะร่วงกราว
“จิ่งสิง!”
ห้องที่เบื้องหน้าถูกเปิดออกกะทันหัน ฝูเป่าวิ่งออกมาจากด้านใน ตรงดิ่งมาถึงตรงหน้าจิ่งสิงแล้วก็ถึงกับกอดแขนเขาไว้โดยไม่ให้ตั้งตัว
ไม่ได้พบกันหนึ่งปีนางสูงขึ้นแล้ว เมื่อก่อนเพียงถึงไหล่ บัดนี้แตะถึงคางเขาได้แล้ว จิ่งสิงเงยหน้า กางสองมือออก แล้วพูดจากระอักกระอ่วน ไม่รู้ควรทำอย่างไรดี “องค์…องค์หญิง!”
“ชู่!” ฝูเป่าปล่อยเขา “ที่นี่ไม่มีองค์หญิง เรียกข้าว่าอาเป่าก็พอ”
เขาพยักหน้าน้อยๆ กล่าวว่า “อาเป่า”
“เจ้าบอกแล้วว่าจะกลับมาเยี่ยมข้าทุกปี เห็นว่านี่เป็นวันสุดท้ายของปีนี้แล้ว ยังนึกว่าเจ้าหลอกข้า จะไม่มาแล้วเสียอีก!”
จิ่งสิงมองนางอย่างอ่อนโยน “รับปากองค์หญิงแล้ว มิกล้าไม่ปฏิบัติตาม”
“เอาอีกแล้ว บอกให้เรียกอาเป่า”
“ตกลง อาเป่า”
ที่ด้านหลังพวกมู่หรงชงพากันเดินออกมา ผู้ที่รู้จักจิ่งสิงล้วนกล่าวทักทายเขาอย่างไม่เอิกเกริก
หงจูมองขอบฟ้า ม่านดำมาเยือนแล้ว ดวงดาวเต็มฟ้า พลันเปรยขึ้นด้วยอารามเกิดความคิดแผลงๆ “โลกมนุษย์เงียบเหงา ได้พบกันทั้งที คืนนี้เป็นวันสิ้นปี ท้องฟ้านี้ดูคล้ายจะไม่มีหิมะตกแล้ว พวกท่านอยู่เฝ้าปีด้วยกันเถิด”
มู่หรงชงมองมู่เฉิน เห็นนางพยักหน้าก็มิได้คัดค้าน
หงจูเองก็ไม่ให้โอกาสผู้อื่นได้คัดค้าน สั่งให้ลูกน้องปิดประตูใหญ่แล้วให้บ่าวไพร่มากวาดหิมะให้มีพื้นที่ว่างสำหรับจัดวางฟืนและภาชนะหุงต้ม ก่อนจะขนอาหารและสุราออกมาจากในครัว
ไม่นานไฟก็ลุกโชน ขับไล่ไอหนาวให้สลายไป คนทั้งหลายนั่งล้อมรอบกองไฟ ไม่รู้สึกหนาวเย็นแม้เพียงกระผีก
หงจูเก็บประกายแหลมคมลงอย่างหาได้ยาก คอยดูแลเตาอุ่นไหสุราที่อยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าอ่อนโยน “คนรุ่นก่อนร่ำสุราแกล้มบ๊วยเขียว* กลายเป็นเรื่องราวอันดีงาม มิสู้พวกเราก็ใช้เรื่องนี้เป็นหัวข้อ มาคุยกันถึงทิศทางสถานการณ์ในใต้หล้านี้ดูเถิด”
หานเหยียนกล่าวนำขึ้นว่า “บัดนี้ยังมีทิศทางสถานการณ์อะไรได้อีก ฝ่าบาทเพิ่งทรงปราบสกุลทั่วป๋าไป นอกจากพื้นที่เท่ากระเบียดนิ้วแถบเจียงจั่วนั่น ใต้หล้าก็อยู่ใต้อาณัติเขาหมดแล้ว”
หงจูยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ฝ่าบาททรงพระปรีชาจริงแท้ แต่ผู้ปกครองใต้หล้าที่ถูกต้องตามเชื้อสายจะอย่างไรก็เป็นราชวงศ์จิ้น”
หานเหยียนจึงว่า “รอฝ่าบาททรงยกทัพใหญ่ลงใต้ก่อนเถอะ ราชวงศ์จิ้นจะอยู่หรือไปเป็นแค่เรื่องของเวลาเท่านั้น!”
ฝูเป่าเอ่ยถึงข่าวที่ได้ยินมาจากในหมู่ราษฎรเมื่อหลายวันก่อน “ได้ยินว่าองค์ชายน้อยทั่วป๋ากุยผู้นั้นถูกไทเฮาพาหนีออกจากวังหลวงเซิ่งเล่อไปหาเผ่าอื่นแล้ว?”
จิ่งสิงพึมพำอย่างลังเล “แม้แคว้นไต้ของสกุลทั่วป๋าจะถูกทำลายแล้ว แต่เผ่าต่างๆ ที่กระจัดกระจายกันไปยังกุมกำลังทหารอยู่ อีกทั้งชาวเซียนเปยก็ชำนาญการรบ แม้ทั่วป๋ากุยจะยังเยาว์วัย แต่ข้างกายย่อมจะมีผู้มากความสามารถ หากแอบซ่อนความสามารถไว้ได้ ภายภาคหน้าก็ไม่แน่ว่าจะไม่สามารถผงาดขึ้นมาอีกครั้ง”
ฝูเป่าพูดอย่างไม่ชอบใจ “พี่จิ่ง ท่านพูดเยี่ยงนี้ช่างเป็นการยกยอความน่าเกรงขามของผู้อื่นเสียนี่กระไร!”
จิ่งสิงตอบ “ได้ข่าวว่าเดิมทีฝ่าบาทมีพระราชประสงค์จะให้ทั่วป๋ากุยมาเป็นตัวประกันที่เมืองฉางอัน แต่สุดท้ายกลับทรงปล่อยผ่านไป พวกเขาทำให้ฝ่าบาททรงละทิ้งแผนการนี้ได้ จากนั้นก็เปลี่ยนมาเสาะหาการคุ้มครองจากชนเผ่า ช่างฉลาดโดยแท้ มิอาจดูถูกได้”
มู่เฉินมองดวงดาวบนฟากฟ้าพลางกล่าวว่า “หวังว่าสวรรค์จะคุ้มครองเด็กคนนี้”
ฝูเป่าแค่นเสียงในลำคอ “คุ้มครองเขาไปไย เพื่อให้วันหน้ามาบุกต้าฉินเราอีกกระนั้นหรือ”
“คุ้มครองให้เขาเติบใหญ่มาโดยปลอดภัย เปิดเผยบริสุทธิ์ จิตใจกว้างขวาง โอบอ้อมอารี” มู่เฉินเม้มปากเบาๆ ก่อนยิ้มด้วยอารามจนใจ “หากเด็กทุกคนเป็นเช่นนี้ได้จะดีมากเพียงไรหนอ”
ข้างไฟเตาที่เดี๋ยวติดเดี๋ยวดับไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่ามือที่ไพล่อยู่ด้านหลังของอากุ้ยกำแขนเสื้อของเยียนเฟิ่งไว้แน่น เยียนเฟิ่งรู้สึกถึงแรงนี้ก็กุมมือเล็กที่อ่อนนุ่มข้างนั้นไว้ในฝ่ามือโดยไม่กระโตกกระตาก เขามองมู่เฉินปราดหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ นางมีสีหน้าสงบราบเรียบและจริงใจ
จิ่งสิงถือชามสุราไว้ในมือ พลันถามขึ้นว่า “แม่นางเฉินดื่มสุราเป็นหรือไม่”
มู่เฉินตอบ “ดื่มได้ แต่คอไม่แข็งนัก”
จิ่งสิงยื่นชามสุราไปข้างหน้า “ขอคารวะหมดจอก แด่ความเปิดเผยบริสุทธิ์ของคนหนุ่มสาว แด่ความโอบอ้อมอารี”
เขาพูดจบก็ดื่มสุราจนหมด
มู่เฉินยกจอกสุราขึ้นมาดื่มหมดรวดเดียวเช่นกัน
ความร้อนระอุไหลจากคอลงไปที่อวัยวะภายใน ความเผ็ดร้อนพวยพุ่งจากอวัยวะภายในขึ้นมาถึงคอ มู่เฉินมีอาการเมากรึ่มในทันที นางหลับตาลง รู้สึกว่ากองไฟร้อนอยู่บ้าง
มู่หรงชงจับมือนางมาถามว่า “รู้สึกไม่สบายหรือ”
มู่เฉินส่ายหน้า “เพียงแค่ร้อนอยู่บ้าง”
“เช่นนั้นพวกเราไปรับลมสักหน่อย”
เขาดึงมู่เฉินให้ลุกขึ้นเดินไปด้านนอกโดยไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายได้ทักท้วง
ฝูเป่าร้อนใจลุกขึ้นยืนตาม “พวกท่านจะไปที่ใด…”
หงจูดึงนางนั่งลง “ผู้อื่นจะไปทำให้สร่างเมา เจ้าจะไปร่วมวงอะไร นั่งลงกินข้าวเป็นเพื่อนพี่จิ่งเสีย คนเขาอุตส่าห์มาเยี่ยมเจ้าจากแดนไกล…”