บทที่ 3 มู่หรงแห่งเซียนเปย
วันรุ่งขึ้นชิงหลวนเดินผ่านสะพานแห่งนั้น เห็นโคมดอกบัวบนน้ำลอยไปตามกระแสน้ำหมดแล้ว ในแม่น้ำไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่ มีสตรีสองสามคนกำลังซักผ้าอยู่ริมแม่น้ำ พูดคุยกระซิบกระซาบกันสรวลเสเฮฮา
“ใกล้จะถึงวันคล้ายวันพระราชสมภพของฝ่าบาท ได้ยินว่าเจ้าเมืองผิงหยางผู้นั้นเองก็กลับมาแล้ว”
“นั่นน่ะสิ ตอนแรกตามท้องถนนตรอกซอกนั้นล้วนแต่ขับลำนำที่สืบทอดต่อกันมา บัดนี้ก็เริ่มกันอีกแล้ว ‘หนึ่งตัวเมียอีกหนึ่งตัวผู้ ทั้งคู่โบยบินเข้าพระราชวัง’ ”
“ข้ากลับสงสัยยิ่งนักว่าต้องมีรูปโฉมงดงามปานใดถึงสามารถทำให้ฝ่าบาทใส่พระทัยได้ปานนี้”
ชิงหลวนไม่เข้าใจว่าที่พวกนางพูดถึงคือผู้ใด ขณะอยากจะฟังต่อไปในเวลานี้กลับมีคนพูดกลั้วหัวเราะขึ้นอีกว่า “พวกเจ้านี่มันช่างจ้อนัก วิพากษ์วิจารณ์ฝ่าบาท ระวังเถอะจะถูกจับตัวไป!”
ผู้ที่ถูกว่ากลับหัวเราะตอบ “ยังว่างมาว่าพวกข้าได้หรือ เจ้าเองก็ควรดูแลเรื่องในบ้านตนเองให้ดีๆ เมื่อวานยังได้ยินอยู่เลยว่าเหล่าหลิวของเจ้าไปรับโคมดอกบัวของเด็กสาวมา!”
คนผู้นั้นพูดด้วยความร้อนใจ “นี่ไม่นับเสียหน่อย! โคมดอกบัวแทนใจถือเป็นของเล่นของคนหนุ่มสาว!”
หลังจากนั้นพวกนางพูดคุยอะไรกันชิงหลวนก็ฟังไม่เข้าหัวแล้ว ในสมองนางมีเพียงคำว่า ‘โคมดอกบัวแทนใจ’ ดังซ้ำไปซ้ำมา นางพยายามย้อนนึกถึงสีหน้าท่าทางของเฟิ่งหวงยามรับโคมดอกบัวนั้นไว้เมื่อวานนี้ แต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก จำได้เพียงว่าใบหน้าที่ประเดี๋ยวมืดประเดี๋ยวสว่างภายใต้แสงโคมนั้นงดงามจนดูไม่เหมือนปุถุชนคนธรรมดา
ผ่านไปอีกหนึ่งวัน โต้วหวั่นเอ๋อร์มาหาชิงหลวน
ฝูเป่าพูดได้ทำได้ นางไปสืบข่าวยังจวนของฝูหมัวตั้งแต่เมื่อวาน พบว่ามีอนุที่พากลับมาจากแถบเจียงจั่วอยู่นางหนึ่งจริงๆ หมู่นี้เป็นที่โปรดปรานอย่างมาก แต่นางกลับไม่มีพี่สาว มารดาก็มิได้เพิ่งจะลาจากโลกนี้ไป
ชิงหลวนลังเลไม่แน่ใจ รู้สึกว่าในเรื่องนี้ต้องมีสาเหตุบางอย่างอยู่เป็นแน่ จึงลองพูดกับโต้วหวั่นเอ๋อร์ “ข้ายังวางใจไม่ลง มีวิธีใดที่ทำให้ข้าเห็นด้วยตาตนเองได้บ้างหรือไม่”
โต้วหวั่นเอ๋อร์ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนเอ่ยว่า “วิธีน่ะมี แต่ต้องลำบากท่านปลอมตัวเป็นสาวใช้ของข้า วันมะรืนเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของฝ่าบาท ผู้มีอำนาจราชศักดิ์ของตระกูลต่างๆ ล้วนจะพาญาติพี่น้องเข้าวัง คิดว่าฉงเหอโหวคงจะพาคนผู้นั้นไปด้วยเป็นแน่ แต่ท่านทำได้เพียงมองดูจากที่ไกลๆ ห้ามทำอะไรเป็นที่เอิกเกริกเด็ดขาด”
ชิงหลวนยินดีครั้งใหญ่จึงกล่าวว่า “เรื่องนี้แน่นอนอยู่แล้ว ขอให้ข้าได้เห็นเพียงแวบเดียวก็รู้แล้วว่าใช่น้องสาวของข้าหรือไม่ หากใช่…เห็นนางมีชีวิตที่ดี ข้าก็วางใจแล้ว”
โต้วหวั่นเอ๋อร์จับมือของชิงหลวนขึ้นมา “พี่ชิงหลวน ท่านสายตาดี ไปเลือกเสื้อผ้างามๆ เป็นเพื่อนข้าสักสองสามชุดได้หรือไม่”
ชิงหลวนมองชุดกระโปรงสีชมพูอ่อนของอีกฝ่าย ก่อนกล่าวยิ้มๆ “ท่านแต่งกายเยี่ยงนี้ก็ดูดียิ่ง”
“แต่ว่า…” โต้วหวั่นเอ๋อร์หน้าแดง กล่าวเสียงเบา “เขาดูเหมือนจะชอบ…แบบที่ดูโตหน่อย”
ชิงหลวนรู้ว่าเป็นเรื่องความในใจของสาวน้อยจึงจงใจเอ่ยกระเซ้า “เขาคือใคร”
ใบหน้าของโต้วหวั่นเอ๋อร์ยิ่งแดงก่ำ ทว่านางเองก็มิได้ปิดบังซ่อนเร้น เพียงตอบว่า “บัดนี้บอกไปท่านก็ไม่รู้จัก วันที่เข้าวังข้าจะชี้ให้ท่านดู”
ตลอดทั้งบ่ายชิงหลวนจึงเดินเที่ยวเป็นเพื่อนโต้วหวั่นเอ๋อร์
เมืองฉางอันเป็นเมืองหลวงเก่ามาตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจว แม้ว่าหลังสมัยราชวงศ์ฮั่นจะมิใช่เมืองหลวงอีกต่อไป แต่ก็เป็นเมืองสำคัญทางตะวันตกตลอดมา ชิงหลวนคิดในใจ ฝูเจียนตั้งเมืองหลวงอยู่ที่นี่ คิดว่าคงจะมีปณิธานสร้างคุณูปการให้ได้เยี่ยงปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฉินเช่นกัน
ชิงหลวนมองดูชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านโดยรอบแล้วอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจพลางว่า “นับตั้งแต่ยุคฮั่นและเว่ย บริเวณกวนจง ประสบความไม่สงบอยู่หลายหน เมืองฉางอันสามารถฟื้นฟูกลับมามีสภาพเยี่ยงปัจจุบันได้เป็นเรื่องไม่ง่ายเลยจริงๆ”
โต้วหวั่นเอ๋อร์กล่าว “ฝ่าบาทมีพระวิริยะอุตสาหะที่จะปกครองบ้านเมือง ต้าฉินจะต้องเป็นราชวงศ์ที่ปรีชาสามารถราชวงศ์หนึ่งได้อย่างแน่นอน”
ชิงหลวนเพียงยิ้ม แต่หาได้พูดอะไรต่อไม่
นับตั้งแต่แคว้นฉินกำจัดสกุลมู่หรงแห่งเซียนเปย การขยายอาณาเขตของฝูเจียนก็รวดเร็วรุนแรงเป็นที่สุด จากทุ่งหญ้าในดินแดนตะวันตกไปจรดทะเลทรายนอกด่านทางเหนือล้วนเป็นความทะเยอทะยานของเขา ประชากรในเมืองฉางอันมีความซับซ้อน นอกจากชาวฮั่นก็ยังมีชาวเซียนเปย ชาวเชียง ชาวเจี๋ย…ชาวตีเช่นฝูเจียนผู้นี้มีความใจกว้างอยู่จริงๆ เขาให้โอกาสที่เท่าเทียมแก่ชนเผ่าที่พ่ายแพ้ภายใต้กองทัพม้าเหล็กของตนเองเหล่านี้ มอบที่อยู่อาศัยและเสบียงอาหาร อีกทั้งบรรดาศักดิ์และอนาคตในเส้นทางการปกครองแก่พวกเขา