ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน บทเพลงปณิธาน ตำนานวิหคโผบิน บทที่ 3-4
ทว่าเท่านี้ก็ทำให้ใต้หล้ามีสันติสุขได้แล้วหรือ ชิงหลวนขมวดคิ้ว ยังไม่กล่าวถึงว่าราชวงศ์จิ้นแห่งเจียงจั่วต่างหากที่เป็นผู้ปกครองใต้หล้าที่ถูกต้องตามเชื้อสาย ต่อให้เป็นภายในอาณาเขตของแคว้นฉินเอง ชนเผ่าที่ไม่กี่ปีก่อนยังยุ่งง่วนกับการรบรากันเองเหล่านี้มีหรือจะสามารถสลายความแตกต่างระหว่างเผ่า ความแค้นจากศึกสงคราม ตลอดจนความโลภต่ออำนาจและผลประโยชน์ได้เร็วปานนี้
ไม่ สลายไม่ได้หรอก
ก้นบึ้งหัวใจของชิงหลวนให้คำตอบเช่นนี้ออกมา
ฉางอัน…ฉางอันนี้เกรงว่าคงเป็นอีกคราที่ไม่สามารถรักษาความสงบได้ยาวนานเยี่ยงชื่อ แล้ว
“พี่ชิงหลวน ท่านกำลังคิดอะไรอยู่”
โต้วหวั่นเอ๋อร์เขย่าแขนชิงหลวน นางถึงได้รู้สึกตัว “ไม่มีอะไร แค่กำลังคิดถึงที่ท่านพูดเมื่อครู่นี้ ราชวงศ์ที่ปรีชาสามารถ…ฝ่าบาททรงเป็นบุคคลผู้ทรงพระปรีชาสามารถจริงๆ”
“ใช่แล้ว! ชาวฮั่นอย่างพวกท่านอย่าได้ดูถูกชาวตีอย่างพวกข้าเชียว! ฝ่าบาททรงแต่งตั้งมู่หรงเหว่ยอดีตฮ่องเต้แคว้นเยียนเป็นเสนาบดี ซ้ำยังให้มู่หรงฉุยอาของเขาเป็นเจ้าเมืองนครหลวง เหยาฉางหัวหน้าเผ่าเชียงก่อนหน้านี้บัดนี้ก็เป็นผู้นำกองทัพของฝ่าบาทเช่นกัน แม้กระทั่ง…แม้กระทั่งเขาเองก็ได้รับแต่งตั้งเป็นเสนาธิการแดนเหนือเชียวนะ…” พูดมาถึงตรงนี้โต้วหวั่นเอ๋อร์ก็หน้าแดง ก้มหน้าลงอีก ก่อนพูดอ้อมไปว่า “น้องชายของเขาก็ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองผิงหยางเช่นกัน แล้วไหนจะหยางติ้งแห่งโฉวฉือ ได้ยินว่าฝ่าบาทยังตั้งพระทัยจะรับเขาเป็นราชบุตรเขย…”
ชิงหลวนกล่าวว่า “มองไม่ออกเลยว่าท่านเป็นอิสตรีนางหนึ่ง ดูใส่ใจเหตุการณ์บ้านเมืองยิ่งนัก”
“พี่ชายข้าบ่นอยู่ในบ้านทั้งวัน ข้าไม่อยากฟังก็ทำไม่ได้นี่!” โต้วหวั่นเอ๋อร์คิดแล้วรู้สึกว่าประเด็นนี้น่าเบื่อยิ่ง จึงรีบลงข้อสรุป “เอาเป็นว่าฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่ง! ตายจริง ลายนี้งามเสียจริง พี่ชิงหลวน ท่านดูเร็วเข้า!”
ชิงหลวนมองไป รู้สึกเพียงเห็นแต่ความงดงามละลานตา แต่ที่แท้แล้วเป็นลวดลายอะไรนั้นกลับมิได้ใส่ใจ ทั้งสมองนางมัวแต่คิดว่าเผ่าตี…จะสามารถกลายเป็นผู้ปกครองคนใหม่ของใต้หล้าได้จริงหรือ
เวลาหนึ่งวันผ่านไปในชั่วพริบตา วันคล้ายวันเกิดของฝูเจียน โต้วหวั่นเอ๋อร์มาหาชิงหลวนตั้งแต่เช้า ชิงหลวนสวมชุดสาวใช้เสร็จก็ตามโต้วหวั่นเอ๋อร์เข้าวัง
ตำหนักเว่ยยางนั้นสมชื่ออันยิ่งใหญ่ ยังไม่ทันก้าวเข้าไปก็เห็นหมู่เรือนสูงตระหง่าน ห่วงทองแดงรูปสัตว์บนประตูสีชาดมองมาอย่างน่าคร้ามเกรง สายตาดูเกรี้ยวกราดวาวโรจน์ เข้าไปจากประตูทิศตะวันออกเห็นเพียงทางด้านหน้ามีระเบียงยาวกว้างขวางอยู่เส้นหนึ่ง สองข้างทางมีหมู่เรือนวิจิตรโอ่อ่าตั้งเรียงรายอยู่จำนวนมาก
ยังไม่ถึงเวลางานเลี้ยงตอนค่ำ ชิงหลวนเดินตามโต้วหวั่นเอ๋อร์ไปยังอุทยานหลวง เหล่าสตรีจับกลุ่มสนทนาพาทีกันอยู่ไม่กี่คน
ฝูเป่าเห็นพวกโต้วหวั่นเอ๋อร์เดินมาก็ลุกขึ้นต้อนรับ “รอเจ้าอยู่นานแล้ว มาได้เสียที!” นางขยิบตาให้ชิงหลวนเป็นนัยว่ามีคนนอกอยู่ ไม่สะดวกจะคุยด้วย
ชิงหลวนทำความเคารพ บนหน้ามีรอยยิ้ม แสร้งทำเป็นไม่รู้จักเช่นกัน
ที่สุดแล้วโต้วหวั่นเอ๋อร์ก็ยังมีอุปนิสัยของเด็กสาว ครั้นเห็นว่าผู้อื่นไม่ได้สนใจก็กระซิบถามฝูเป่าว่า “เจ้าเห็นพี่หงแล้วหรือยัง”
ฝูเป่าตอบยิ้มๆ “มู่หรงหงเพิ่งจะมาถึงฉางอันเช้าวันนี้ บัดนี้ไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อพร้อมกับเหล่าขุนนางใหญ่แล้ว เจ้าทำเป็นร้อนใจไปได้”
โต้วหวั่นเอ๋อร์เบะปากพลางกล่าวว่า “เจ้าก็ช่างไม่ร้อนใจเอาเสียเลย ก่อนพี่เฟิ่งกลับมาข้าเห็นเจ้าร้อนใจเสียยิ่งกว่าใครๆ! กังวลว่าเขาจะกลายเป็นหงส์ฟ้าบินหนีหายไปจริงๆ อย่างไรอย่างนั้น”
เห็นคนทั้งสองโต้ตอบกันไปมาชิงหลวนก็นับว่าเข้าใจแล้ว พวกนางต่างพึงใจในตัวอนุชนทั้งสองของสกุลมู่หรงแห่งเผ่าเซียนเปย มู่หรงหงและมู่หรงชง ส่วนคนหนุ่มที่ได้พบเมื่อวันก่อนนั้นน่าจะเป็นมู่หรงชง
ห้าปีก่อนแคว้นฉินทำลายแคว้นเยียน มู่หรงเหว่ยฮ่องเต้แคว้นเยียนถวายตราหยก ขอสวามิภักดิ์ต่อฉินอ๋อง จากนั้นก็พาคนในเผ่าของเขา เหล่าขุนนาง รวมถึงชาวเซียนเปยรวมสี่หมื่นกว่าครัวเรือนอพยพมายังฉางอัน ฝูเจียนสถาปนามู่หรงเหว่ยเป็นซินซิงจวิ้นโหว อดีตผู้ใต้ปกครองในแคว้นเยียนนับตั้งแต่เขาลงไปก็ได้รับราชการในแคว้นฉินด้วยกันทั้งสิ้น
โต้วหวั่นเอ๋อร์พลันเก็บสีหน้าลง ถามขึ้นว่า “อาเป่า เจ้าเคยได้ยินหรือไม่ว่าในหมู่ราษฎรมีลำนำอยู่บทหนึ่ง” นางชะงักเล็กน้อยก่อนลดเสียงให้เบาลง “หนึ่งตัวเมียอีกหนึ่งตัวผู้ ทั้งคู่โบยบินเข้าพระราชวัง”
ฝูเป่าใบหน้าเปลี่ยนสี พูดด้วยโทสะ “ถ้อยคำบัดซบตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนพรรค์นี้ ใครกล้าเอาออกมาพูดอีก แพร่ข่าวลือเยี่ยงนี้ไม่กลัวถูกบั่นศีรษะหรือไร!”
“เช่นนี้หมายความว่าเจ้ารู้เรื่อง?” โต้วหวั่นเอ๋อร์กล่าว “สองปีก่อนฝ่าบาทได้ทรงแต่งตั้งพี่เฟิ่งไปเป็นเจ้าเมืองผิงหยางเพื่อที่จะสยบข่าวลือนี้ บัดนี้เขากลับมาถวายพระพรฝ่าบาท ในเมืองฉางอันก็มีคำพูดเช่นนี้แพร่ออกมาอีกแล้ว อาเป่า ข้าเพียงแต่เตือนเจ้า วันหน้าจะคิดทำเช่นไรยังต้องคอยดูพระราชประสงค์ของฝ่าบาท”
ฝูเป่ากัดริมฝีปาก พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
ชิงหลวนเชื่อมโยงข่าวคราวที่ได้ยินจากในหมู่ราษฎรสองสามวันมานี้ก็รู้สาเหตุแล้ว
บุรุษชมชอบบุรุษเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางมานับตั้งแต่สมัยราชวงศ์เว่ยราชวงศ์จิ้นแล้ว เชื้อพระวงศ์ชนชั้นสูงมักชอบเลี้ยงเด็กชายรูปงามไว้ข้างกาย…ในปีที่มู่หรงชงเข้ามายังแคว้นฉินเพิ่งจะอายุได้สิบสองปี นางนึกถึงรูปโฉมที่ทั่วทั้งใต้หล้ายังพานพบได้ยากนั้นของมู่หรงชงแล้วก็อดจะหัวใจบีบรัดไม่ได้ คำตอบเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้ง แต่ก็มิกล้าคิดลึกลงไปต่อ เคยได้ยินว่าสกุลมู่หรงแห่งเผ่าเซียนเปยไม่ว่าบุรุษหรือสตรีจะมีดวงตาลึก จมูกโด่ง ใบหน้างดงามพริ้งเพริศ แต่เมื่ออยู่ท่ามกลางยุคสมัยที่บ้านเมืองปั่นป่วนนี้กลับคล้ายว่าจะหาใช่เรื่องโชคดีไม่
หญิงสาวทั้งสามต่างคนต่างใช้ความคิด ทำให้รอบข้างเงียบสงัดไปชั่วขณะ
ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าที่แผ่วเบาฉับไวดังมาพร้อมกับเสียงหัวเราะของเด็กหญิงตัวน้อย เงาร่างเล็กๆ ร่างหนึ่งโผมาอยู่บนตัวฝูเป่า “พี่หญิงๆ!”
ฝูเป่าประคองเด็กคนนั้นให้มั่นคงแล้วเอ่ยถาม “ไยเจ้าจึงกลับมาเร็วปานนี้”
เด็กหญิงตอบว่า “เสด็จพ่อตรัสว่ามีเรื่องจะคุยกับอัครเสนาบดีหวัง ให้คนอื่นๆ แยกย้ายไปก่อน”
เด็กคนนี้ก็คือฝูจิ่นพระธิดาคนเล็กของฝูเจียน เมื่อครู่นี้ฝูเป่าให้นางไปสืบข่าวมา
ครั้นได้ยินว่าฝูเจียนให้คนทั้งหลายแยกย้ายกันแล้ว ฝูเป่าก็รีบถามว่า “เจ้าเห็นพี่เฟิ่งหรือยัง”
เห็นฝูจิ่นงุนงงอยู่บ้างโต้วหวั่นเอ๋อร์จึงเอ่ยเสริมว่า “ก็คือพี่ชายตัวสูงๆ ผอมๆ ที่หน้าตาดีที่สุดคนนั้น”
พูดเช่นนี้เด็กหญิงก็จำได้แล้วจึงตอบว่า “เห็นแล้ว เขาขอพระราชานุญาตจากเสด็จพ่อเพื่อไปเยี่ยมจิ่นฟูเหริน* โดยเฉพาะ! เสด็จพ่อทรงชอบเขา แต่พี่ฮุยเกลียดเขา!”
“อาจิ่น เรื่องนี้พูดกับพี่หญิงได้ไม่เป็นไร แต่ต่อไปห้ามเที่ยวนำไปพูดส่งเดชอีก!” ฝูเป่ากำชับก่อนให้นางไปเล่นในสวน จากนั้นก็หันมากล่าวกับโต้วหวั่นเอ๋อร์ “บัดนี้เจ้าเองก็ไม่สะดวกจะไปหามู่หรงหงเช่นกัน พวกเราไปหาจิ่นฟูเหรินก็แล้วกัน”
โต้วหวั่นเอ๋อร์หน้าแดงระเรื่อ “ตกลง!”