มู่หรงชงเพิ่งจะมาถึงหน้าประตูตำหนักชีอู๋ก็เห็นคนคณะหนึ่งกำลังเดินออกมาจากด้านใน ผู้ที่เดินนำหน้าซึ่งสวมกระโปรงผ้าโปร่งสีแดงเข้มและเสื้อคลุมผ้าโปร่งผู้นั้นก็คือมู่หรงจิ่น อดีตองค์หญิงชิงเหอแห่งแคว้นเยียน ชายาของฝูเจียนในปัจจุบัน
มู่หรงชงเร่งฝีเท้าเดินไปหา เอ่ยเรียกด้วยความดีใจ “พี่หญิง!”
มู่หรงจิ่นกุมมือเขาไว้ เบ้าตาพลันแดงเรื่อ พูดปนสะอื้นน้อยๆ “เฟิ่งหวงเอ๋อร์ พี่หญิงนึกว่าจะไม่ได้พบเจ้าอีกต่อไปแล้ว”
มู่หรงชงเห็นว่าแม้นางจะผัดแป้งแต้มชาดแล้วก็ยังยากจะปิดบังใบหน้าที่ซีดเผือดได้ จึงพูดด้วยความปวดใจ “พี่หญิง มิได้พบกันสองปีท่านผอมลงไปมาก นี่ท่านมีธุระจะออกไปข้างนอก?”
มู่หรงจิ่นตอบ “ข้าออกมารอเจ้าตรงนี้โดยเฉพาะ ได้ยินว่าไม่กี่วันก่อนฝ่าบาทไม่พระราชทานพระราชานุญาตให้เจ้ามาหา วันนี้เจ้าก็ไปกราบทูลขอยังตำหนักใหญ่อีกรอบ พอเขาทรงรับปากก็มีคนมารายงานทันที บัดนี้แตกต่างจากที่ผ่านมา เฟิ่งหวงเอ๋อร์โตแล้ว ไม่สะดวกจะเข้าออกฝ่ายในนี้จริงๆ”
มู่หรงชงหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ที่นี่คือฝ่ายในของฝูเจียน เขาเองก็เคยอาศัยอยู่เป็นเวลาสามปี
มู่หรงจิ่นมองไปด้านหลัง ไล่ผู้ติดตามให้ถอยไปห่างๆ แล้วถึงได้กระซิบว่า “ข้าอกสั่นขวัญแขวนอยู่ในนี้ทุกวี่วัน อยากได้ยินข่าวคราวของพวกเจ้า แต่ก็กลัวที่จะได้ยิน เรียกว่ากินนอนแทบไม่ได้ด้วยซ้ำ เฟิ่งหวงเอ๋อร์ เจ้าอุตส่าห์ไปจากเมืองฉางอันได้แล้ว ยามนี้กลับมาทำกระไรอีก”
มู่หรงชงเองก็ลดเสียงลงเช่นกัน “ข้าได้รับจดหมายจากพี่หง ชวนให้มาพบกันที่ฉางอันในวันคล้ายวันพระราชสมภพของฝ่าบาท”
“เหลวไหล!” มู่หรงจิ่นขมวดคิ้ว กล่าวอีกว่า “เขาใช่จะไม่รู้ว่าฝ่าบาททรง…ทรง…ต่อเจ้า” นางเห็นมู่หรงชงหน้าซีดลงเล็กน้อยก็รีบหยุดปาก เปลี่ยนมาพูดว่า “เฟิ่งหวงเอ๋อร์ เจ้าไม่ควรกลับมา!”
มู่หรงชงปรับสีหน้าให้กลับคืนเป็นปกติ ก่อนพูดอย่างไร้กังวล “วางใจเถิดพี่หญิง เมืองฉางอันนี้ในเมื่อเข้ามาได้ก็ย่อมจะออกไปได้ วันที่กลับมาข้าก็ได้ให้คนแพร่ข่าวลือเมื่อห้าปีก่อนออกไปแล้ว ขอเพียงหวังเหมิ่งยังมีชีวิตอยู่ก็จะไม่มีวันปล่อยให้ข้าอยู่ในเมืองฉางอันต่อเป็นอันขาด”
มู่หรงจิ่นเผยสีหน้าประหวั่นพรั่นพรึง กล่าวเสียงสั่น “เจ้านี่จริงๆ เชียว ไม่คำนึงถึงชื่อเสียงของตนเองบ้างสักนิดเลยหรือ”
มู่หรงชงมองแววตาสิ้นหวังของผู้เป็นพี่สาวแล้วยิ้มออกมา “ข้าไม่เอ่ยถึงแล้วก็จะไม่มีใครเอ่ยถึงจริงๆ หรือ พี่หญิง เรื่องเยี่ยงนี้เป็นเสมือนตรานาบติดอยู่บนร่าง ทั้งชาตินี้มิอาจล้างออกได้แล้ว! ข้ามู่หรงชงเคยเป็นเด็กหนุ่มบำเรอของฝูเจียน ต้าเยียนของเราต้องกลายเป็นตัวตลกของใต้หล้าเพราะเรื่องนี้ ทำให้ตั้งแต่ฮ่องเต้และเหล่าขุนนางลงไปถึงพี่น้องรุ่นเดียวกันล้วนไม่มองข้าตรงๆ แม้แต่พี่หงที่โตมาด้วยกัน ห้าปีมานี้ก็ไม่เคยพูดกับข้าแม้แต่คำเดียว พี่หญิง เมื่อก่อนตอนอยู่ในวังมีเพียงท่านกับข้าพึ่งพาอาศัยกันก็จริง แต่คนสกุลมู่หรงจะอย่างไรก็ยังไม่ได้ตายกันหมด! ข้าอุตส่าห์รอมาถึงวันที่พี่หงพูดกับข้าแล้ว แล้วจะไม่มาได้อย่างไร”
มู่หรงจิ่นได้ยินเขาบอกเช่นนี้ ในใจก็เจ็บปวดราวกับถูกมีดคว้านในทันที ก่อนจะน้ำตาไหลพราก
นางย้อนนึกถึงคืนหิมะตกในฤดูหนาวปีนั้น เฟิ่งหวงเอ๋อร์ที่อายุสิบสองถือมีดไว้ บนมือและไหล่เต็มไปด้วยคราบเลือด เขาพูดเสียงแหบแห้งด้วยใบหน้าที่เลอะไปด้วยคราบน้ำตาและแววตาที่ว่างเปล่า ‘พี่หญิง รสชาติของการอยู่มิสู้ตายนี้ไม่สบายเอาเสียเลย!’
ไม่สบาย…ไม่สบายดุจเดียวกัน นางเป็นสตรีจากสกุลมู่หรงยังรู้สึกว่าตายไปยังดีเสียกว่า นับประสาอะไรกับเขาที่เป็นบุรุษจากสกุลมู่หรง…สกุลมู่หรงที่เคยขี่ม้าย่ำไปบนทุ่งหญ้า กรีธาทัพม้าเหล็กเข้าสู่กวนจง!
‘หนึ่งตัวเมียอีกหนึ่งตัวผู้ ทั้งคู่โบยบินเข้าพระราชวัง’
นี่คือคำเหน็บแนมที่ชาวฉางอันมีต่อมู่หรงชง และยิ่งเป็นคำเหน็บแนมที่คนในใต้หล้ามีต่อสกุลมู่หรงแห่งเผ่าเซียนเปย หากกล่าวว่าฝูเจียนเป็นดาบยาวที่แทงเข้าขั้วหัวใจสกุลมู่หรง เช่นนั้นข่าวลือนี้ก็คือพิษร้าย ก็คือเกลือที่ทาลงบนดาบ
“พี่หญิง ข้ายังมีอะไรต้องคำนึงถึงอีก ท่านเล่ายังมีอะไรที่อาลัยอาวรณ์อีก ผู้ที่หัวเราะเยาะพวกเราเหล่านั้นแค่ต้องรอดู รอดูข้า…” วาจาท่อนหลังมู่หรงชงมิได้พูดออกมา เพียงเงยหน้ามองท้องฟ้าไกล
สองปีมานี้รูปโฉมของเขามิได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก แม้แต่ท่าทีและแววตายามมองท้องฟ้าก็ยังมิได้เปลี่ยนไปเสียเท่าไร ทว่ามู่หรงจิ่นค้นพบว่าน้องชายที่ชอบร้องไห้ขี้มูกโป่งกับนางมาตั้งแต่เล็กผู้นี้บัดนี้ในดวงตาไม่มีความชุ่มชื้นเหลืออยู่แล้ว และความแห้งอันสุกใสนี้ก็ทำให้นางนึกถึงทุ่งหญ้าทางเหนือในความทรงจำ
…ทุ่งหญ้าที่นางไม่เคยไป แต่คิดถึงยิ่ง ทุ่งหญ้าในตำราประวัติศาสตร์ที่เคยเห็นขณะอยู่ในวังหลวงแคว้นเยียนที่เมืองเยี่ยเฉิงในสมัยเยาว์วัย ทุ่งหญ้าที่บรรพบุรุษหลายรุ่นของสกุลมู่หรงเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น
“เฟิ่งหวง หากวันใดวันหนึ่งข้าสามารถไปจากตำหนักแห่งนี้โดยที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ เจ้าพาข้าไปดูทุ่งหญ้าทีเถิด”
มู่หรงชงมองนาง เขาใจลอยอยู่บ้าง สนเท่ห์อยู่บ้าง แต่ยังพยักหน้ารับหนักแน่น “เฟิ่งหวงจดจำไว้แล้ว ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่จะขอทำให้พี่หญิงบรรลุความปรารถนาให้จงได้”