บทที่ 4 บทเพลงเมฆมงคล
คณะของชิงหลวนทั้งสามคนมาถึงตำหนักชีอู๋ก็มองเห็นมู่หรงชงและมู่หรงจิ่นสองพี่น้องเดินมุ่งหน้ามาข้างนอกพอดี
ฝูเป่าและโต้วหวั่นเอ๋อร์อยากจะก้าวไปคารวะ มู่หรงจิ่นกลับรีบบอกว่า “มิต้องมากพิธี ที่นี่ไม่มีคนนอก”
ฝูเป่าให้ยินดีนัก ปกตินางมักจะมาที่นี่อยู่เนืองๆ เนื่องจากชอบพอมู่หรงชงและค่อนข้างสนิทสนมกับมู่หรงจิ่นเป็นการส่วนตัว บัดนี้มู่หรงจิ่นบอกต่อหน้ามู่หรงชงว่านางมิใช่คนนอก นางย่อมจะดีใจ
ชิงหลวนเงยหน้ามองมู่หรงชงปราดหนึ่ง กลับคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายก็กำลังมองมาทางนางอยู่เช่นกัน นางพลันเกิดอาการกระอักกระอ่วนขึ้นมาชั่วขณะ แต่หากจงใจเลื่อนสายตาหลบในเวลานี้ก็จะดูเหมือนว่าร้อนตัว ด้วยเหตุนี้คนทั้งสองจึงสบตากันเช่นนี้อยู่เป็นนาน
มู่หรงชงยิ้มออกมาด้วยกลั้นไม่ไหวเป็นคนแรก “เจ้าช่างน่าสนใจ มาหาคนถึงในวังเชียว”
ชิงหลวนไม่คาดว่าเขาจะตรงไปตรงมาปานนี้จึงตอบไม่ถูกไปชั่วขณะ
ฝูเป่ากล่าวว่า “นางกังวลว่าท่านอาหมัวจะหลอกคน พวกข้าจึงพานางเข้ามาให้เห็นความจริงเองกับตา”
ชิงหลวนยิ้มน้อยๆ ตอบว่า “องค์หญิงทรงเปี่ยมด้วยคุณธรรม ชิงหลวนซาบซึ้งในพระกรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้เพคะ”
มู่หรงชงไม่กล่าวอะไรให้มากความอีก
มู่หรงจิ่นเอ่ยว่า “ใกล้ถึงเวลางานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพของฝ่าบาทแล้ว พวกเราไปด้วยกันเถิด”
ฝูเป่าเดินไปอยู่ข้างกายมู่หรงชง ยังเผลอลากนางกำนัลที่ข้างกายมาด้วย นางกำนัลผู้นั้นยืนได้ไม่มั่นคงทั้งตัวคนจึงพุ่งล้มเข้าหามู่หรงชง
มู่หรงชงทำหน้าตึง ต้องการจะหลบ แต่ยังคงถูกนางกำนัลผู้นั้นกระแทกเข้ากับแผ่นอกอยู่ดี
นางกำนัลรีบคุกเข่าลง “บ่าวสมควรตาย! ท่านเจ้าเมืองโปรดไว้ชีวิตด้วย!”
ฝูเป่าพูดด้วยโทสะ “พี่เฟิ่งเกลียดการถูกคนสัมผัสตัวมากที่สุดแล้ว เจ้ายังบังอาจไปชนเขา?! ลากออกไปโบยให้ตาย!”
“องค์หญิงทรงไว้ชีวิตด้วย! องค์หญิงทรงไว้ชีวิตด้วยเพคะ…”
สายตาของมู่หรงชงเลื่อนผ่านใบหน้าของชิงหลวน เห็นนางมีท่าทางคล้ายต้องการพูดอะไรก็เอ่ยปากบอกว่า “ช่างเถิด เป็นความผิดโดยไม่ได้ตั้งใจ”
“พี่เฟิ่ง ไยท่านจึงปล่อยผ่านไปง่ายๆ เยี่ยงนี้…”
มู่หรงชงเดินตรงไปข้างหน้าโดยไม่ได้พูดอะไร
ฝูเป่าไม่สนใจนางกำนัลผู้นั้นอีก เดินตามไปถามว่า “พี่เฟิ่ง ท่านกลับฉางอันครานี้จะอยู่นานเท่าไร”
มู่หรงชงตอบ “เดิมอีกสองวันก็ควรออกเดินทางกลับผิงหยางแล้ว แต่ฝ่าบาทเห็นพระทัยว่าข้ากับญาติพี่น้องแยกจากกันเป็นเวลานานแล้ว จึงพระราชทานพระราชานุญาตให้อยู่ต่อได้หนึ่งเดือน”
ฝูเป่าคิดเล็กน้อย คล้ายว่าลังเลอยู่บ้าง แต่ยังคงเอ่ยปากพูดว่า “ผิงหยางเป็นเมืองหลวงสมัยพระเจ้าเหยาคนอัจฉริยะพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ พี่เฟิ่งกลับไปครานี้พาข้าไปเที่ยวด้วยได้หรือไม่”
มู่หรงชงตอบ “องค์หญิงพระวรกายล้ำค่า มิควรเสด็จไกลจากวัง เดินทางไปกับกระหม่อมก็ไม่สมควรแก่เหตุผล”
ฝูเป่าร้อนใจแล้วจึงกล่าวโดยไม่สนใจผู้คนรอบข้างทันที “ข้ามีเจตนาเช่นไรท่านไม่เข้าใจจริงหรือ พี่เฟิ่ง ความรู้สึกที่ข้ามีต่อท่าน…”
ไม่คาดว่ามู่หรงชงจะพลันคุกเข่าลงต่อหน้าฝูเป่าแล้วกล่าวว่า “พี่หวงมิบังอาจ องค์หญิงอย่าตรัสอีกเลย”
ฝูเป่าตาแดง “ท่าน…ท่าน…” นางทั้งโมโหทั้งร้อนใจ มิอาจพูดให้จบประโยคได้
มู่หรงจิ่นรีบก้าวไปจับมือฝูเป่าไว้พลางปลอบใจว่า “องค์หญิงตรัสเยี่ยงนี้จะเป็นการทำให้เฟิ่งหวงอายุสั้นแล้ว พวกข้าล้วนเป็นคนสิ้นแคว้นบ้านเมือง มิบังอาจเคียงเทียบองค์หญิงจริงๆ”
“พวกท่านกลัวเสด็จพ่อข้าทรงพระพิโรธใช่หรือไม่ ข้าจะไปพูดกับเขาเอง!” ฝูเป่าพูดพลางก้าวไปประคองมู่หรงชงให้ลุกขึ้น “พี่เฟิ่ง ท่านอย่าคุกเข่าให้ข้า”
มู่หรงชงลุกขึ้นยืน แต่กลับถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ก่อนกล่าวโดยที่รักษาระยะห่างกับฝูเป่า “หากองค์หญิงยังมีพระประสงค์ให้กระหม่อมมีชีวิตอยู่อีกนานๆ ก็อย่าทรงกราบทูลเรื่องนี้ต่อฝ่าบาท”
ฝูเป่าเม้มปาก มองมู่หรงชงไม่กะพริบ แต่อีกฝ่ายกลับเพียงหลุบตามองพื้น ท่าทางเคารพนบนอบ
มู่หรงจิ่นเอ่ยเร่ง “พวกท่านหยุดทะเลาะกันได้แล้ว หากยังไม่ไปงานเลี้ยงก็จะเริ่มแล้ว”
“ใช่แล้ว อย่าเสียเวลาอีกเลย” โต้วหวั่นเอ๋อร์ดึงฝูเป่ามา “พวกเราไปกันเถอะ”
คนทั้งห้ามุ่งหน้าไปยังตำหนักไท่จี๋ด้วยกันโดยไม่คุยกันอีกตลอดทาง