วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบสามสิบเจ็ดปีของฝูเจียน เขากำลังอยู่ในวัยฉกรรจ์ แผนการอันยิ่งใหญ่กำลังแผ่ขยายไปทีละก้าวภายใต้เท้าของเขา เขานั่งอยู่บนตำแหน่งสูง มองดูขุนนางจากเผ่าต่างๆ ที่สวามิภักดิ์ต่อเขาอยู่ด้านล่างบัลลังก์ ในใจเกิดความคิดเตลิดขึ้นมาอีก
แต่ยังไม่ถึงเวลา อัครเสนาบดีหวังเหมิ่งมักจะเตือนเขาเยี่ยงนี้
นึกถึงหวังเหมิ่งในใจฝูเจียนก็พลันเป็นทุกข์ ขุนนางคนสนิทที่ช่วยเหลือเขามาร่วมยี่สิบปี ช่วยกวาดล้างปราบปรามกลุ่มอำนาจต่างๆ ช่วยทำให้แว่นแคว้นเจริญรุ่งเรืองผู้นี้เริ่มมีอาการป่วยหนักตั้งแต่เดือนหก จวบจนบัดนี้ยังลุกจากเตียงไม่ขึ้น
ฝูเจียนมองตำแหน่งที่นั่งของอัครเสนาบดีซึ่งอยู่ใกล้เขาที่สุด บัดนี้มันว่างเปล่า บรรยากาศน่าเฉลิมฉลองของงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดจึงหายไปกว่าครึ่งหนึ่ง
ทันใดนั้นที่ล่างบัลลังก์ก็เงียบสงัด คนทั้งหลายล้วนมองไปทางประตูตำหนัก เห็นเพียงตรงนั้นกำลังมีคนเดินเข้ามาห้าคน
ฝูเจียนเพ่งสายตามอง สามคนที่อยู่หน้าสุด หนึ่งคือฝูเป่าบุตรสาวคนโตของเขา อีกหนึ่งคือมู่หรงจิ่นชายาของเขา ส่วนผู้ที่เดินอยู่ริมสุดก็คือมู่หรงชง
“อาเป่าถวายบังคมเสด็จพ่อ ขอเสด็จพ่อมีพระวรกายแข็งแรง ทรงพระเจริญยิ่งยืนนานเคียงคู่ฟ้าดิน”
“หม่อมฉันมู่หรงจิ่น…”
“กระหม่อมมู่หรงชง…”
“ขอฝ่าบาทมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง สวรรค์ทรงคุ้มครองต้าฉินของเรา สี่ทะเลสงบสุข แว่นแคว้นยืนยง”
ฝูเจียนมองไป เห็นคนหนุ่มผู้นั้นยังมีท่าทีโอนอ่อนนอบน้อมเช่นเดิม ภายใต้ชุดอันหรูหราดูเหมือนว่าร่างกายจะบอบบางลงไปบ้าง เขาจำได้ว่าขณะอีกฝ่ายมาฉางอันในคราแรก แม้จะยังเยาว์วัย แต่กลับดูกำยำล่ำสันกว่าในยามนี้ ปัจจุบันทั้งที่ดูตัวสูงขึ้นแล้ว แต่กลับยิ่งดูผ่ายผอม บั้นเอวคล้ายว่ารวบได้ไม่เต็มมือ
มู่หรงชงกลับฉางอันมาได้สามวัน เวลาส่วนใหญ่ล้วนหลบหน้าเขาเสมอ
ฝูเจียนดื่มไปสองสามจอก จู่ๆ ก็รู้สึกครึ้มอกครึ้มใจ ปรบมือพลางกล่าว “เฟิ่งหวงเอ๋อร์ มานั่งตรงนี้!”
วาจานี้ถูกกล่าวออกมาที่ด้านล่างบัลลังก์ก็เงียบกริบประหนึ่งคนตายไปแล้ว สายตานับไม่ถ้วนมองไปยังสองพี่น้องที่หมอบอยู่กับพื้น มีทั้งประหลาดใจ ทั้งเหยียดหยาม ทั้งเดือดดาล…
คนหนุ่มผู้นั้นพลันลุกขึ้นพูดเสียงดัง “เสด็จพ่อ ลูกคิดว่าการทำเยี่ยงนี้มิเหมาะสม!”
คนหนุ่มผู้นี้ดูมีอายุราวสิบแปดสิบเก้า เขาก็คือฝูฮุยบุตรชายของฝูเจียน
รัชทายาทฝูหงเองก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน “ลูกเห็นด้วย!”
ครู่ก่อนฝูเจียนยังอมยิ้ม ครู่ถัดมากลับใช้ฝ่ามือตบลงบนโต๊ะ สองตาจ้องบุตรชายทั้งสอง “เหตุใดจึงไม่เหมาะสม!”
บรรยากาศเยียบเย็นลงทันควัน
ฝูฮุยมองฝูหงปราดหนึ่ง กำลังจะพูดคนผู้หนึ่งที่ด้านข้างกลับลุกขึ้นกล่าวว่า “พี่เจียนโถว วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพ อย่าโมโหเด็กๆ เลย น้องขอคารวะท่านหนึ่งจอก!”
คนผู้นี้มีอายุมากกว่าฝูฮุยไม่เท่าไร เขาคือฝูหมัวญาติผู้น้องของฝูเจียน ฝูเจียนมีพี่น้องมากมาย แต่รักใคร่โปรดปรานฉงเหอโหวที่เอาแต่รักสนุกผู้นี้เป็นอย่างมาก
ฝูเจียนดื่มไปจอกหนึ่ง ฝูหมัวเห็นว่าเขาคลายโทสะลงเล็กน้อยแล้วจึงกล่าวว่า “น่าเสียดายที่วันนี้อัครเสนาบดีหวังมาไม่ได้ ประเดี๋ยวเลิกงานเลี้ยงแล้วน้องจะไปเยี่ยมเขา”
ฝูเจียนกล่าวเสียงเข้ม “เราจะไปกับเจ้า” เขาเหลือบมองพี่น้องสกุลมู่หรงที่ยังคุกเข่าอยู่บนพื้นปราดหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “พวกเจ้าลุกขึ้นเถอะ”
ชิงหลวนลุกขึ้นตาม นางมองไปทางฝูหมัวเร็วๆ ก็เห็นว่าที่ข้างกายเขามีสาวน้อยในอาภรณ์หรูหรานั่งอยู่ผู้หนึ่งตามคาด กล่าวถึงอายุและรูปโฉมล้วนคล้ายคลึงกับมู่อวิ่นจือ นางใจเต้น ก่อนหักห้ามใจเก็บสายตากลับมา ในใจใคร่ครวญว่าจะหาโอกาสคุยกับอีกฝ่ายเยี่ยงไร
มู่หรงชงลุกขึ้นยืนมองไปสองฟากข้าง ที่ที่คนสกุลมู่หรงนั่งกันอยู่กลับไม่เหลือที่ว่างแล้ว พวกมู่หรงเหว่ยและมู่หรงผิงต่างล้วนก้มหน้า คล้ายว่ากลัวจนตัวสั่นไม่กล้ามองเขา มู่หรงฉุยที่มาเข้ากับแคว้นฉินตั้งแต่ก่อนแคว้นเยียนจะถูกทำลายเป็นปีๆ นั่งอยู่อีกด้านหนึ่งด้วยสีหน้าสงบนิ่ง มู่หรงหงพี่ชายของเขานั่งอยู่ข้างมู่หรงเหว่ย ดื่มจอกแล้วจอกเล่า มิได้ให้ความสนใจสิ่งอื่นใด
มู่หรงชงรู้สึกเพียงว่าหนาวเหน็บในทรวง จมูกรู้สึกแสบร้อน สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ยังคงเห็นว่าตนเป็นความอัปยศ!
ฝูเป่าอยากให้มู่หรงชงไปนั่งกับนาง แต่มู่หรงชงเอาแต่มองไปข้างหน้า กล่าวกับฝูเจียนว่า “กระหม่อมจะบรรเลงพิณถวายฝ่าบาทหนึ่งบทเพลงเป็นของขวัญวันคล้ายวันพระราชสมภพพ่ะย่ะค่ะ”
ฝูเจียนได้ยินก็สนใจในทันที “เฟิ่งหวงไปเรียนดนตรีของชาวฮั่นตั้งแต่เมื่อใด ไม่กี่วันก่อนมีคนถวายพิณชั้นดีมาให้คันหนึ่งพอดี เดิมคิดจะมอบให้อัครเสนาบดีหวัง หากเจ้าดีดได้ดีก็มอบให้เจ้าแล้วกัน! เด็กๆ ยกพิณชั้นเลิศคันนั้นมา!”
เพียงครู่เดียวก็มีคนยกพิณและโต๊ะวางพิณมา
มู่หรงชงนั่งลงตรงกลาง ลองเสียงไปหนึ่งที ก่อนกล่าวว่า “เป็นพิณชั้นดีจริงๆ กระหม่อมมิกล้าแย่งของรักของผู้อื่น เพียงต้องการช่วยเสริมบรรยากาศอันสุขเกษมแด่ฝ่าบาท บทเพลงนี้มีชื่อว่า ‘บทเพลงเมฆมงคล’ เมฆมงคลเจิดจ้า เป็นสิริมงคล”
ชิงหลวนให้ความสนใจทางด้านฝูหมัวมาโดยตลอด จวบจนเห็นมู่หรงชงนั่งลงข้างโต๊ะถึงได้รู้ว่าเขาจะบรรเลงพิณ บทเพลงเมฆมงคลนางเองก็เคยฟัง บัดนี้จึงนึกสงสัยว่ามู่หรงชงจะบรรเลงออกมาเป็นเช่นไร
มู่หรงชงมือหนึ่งกดเสียง อีกมือดีดสาย เสียงพิณเริ่มบรรเลงตามมาด้วยเสียงขับร้อง