บทที่ 5 ตกใจแต่ไร้อันตราย
ฝูหมัวกับโต้วหวั่นเอ๋อร์อยู่ไม่ไกลกัน ชิงหลวนแสร้งทำเป็นสาวใช้ยกกาสุราไปรินให้เขาก็หาได้ดึงดูดความสนใจของผู้อื่นไม่
นางก้มหน้า สายตาเสมองน้อยๆ ก็เห็นรูปร่างหน้าตาของสตรีนางนั้นได้พอดี
สตรีนางนั้นหน้าตางดงามยิ่ง ทว่าแตกต่างกับมู่อวิ่นจือในความคิดนางอยู่บ้าง
แตกต่างแล้วอย่างไร เรื่องมาถึงขั้นนี้…ชิงหลวนเอียงจอกสุราในมือน้อยๆ ‘เผลอ’ ทำสุราหกใส่สตรีนางนั้น
“กรี๊ด!” นางอุทานออกมา มุ่นคิ้วมองมายังชิงหลวน
ชิงหลวนรีบก้มตัวลดเสียงลงกล่าวว่า “ฮูหยินโปรดอภัยด้วย องค์หญิงมีรับสั่งให้บ่าวมาปรนนิบัติ บ่าวมือไม้งุ่มง่าม ทำให้อาภรณ์ฮูหยินสกปรกแล้ว”
สตรีนางนั้นได้ยินว่าเป็นคนขององค์หญิงก็ไม่สะดวกจะบันดาลโทสะ หันหน้าไปมองฝูหมัว เขากำลังดื่มอย่างออกรสออกชาติ คาดว่าคงไม่มีเวลามาสนใจทางด้านนี้
ขณะกำลังกลุ้มใจว่าควรทำอย่างไรดีนี้เองชิงหลวนก็กล่าวว่า “บ่าวจะพาฮูหยินไปเปลี่ยนชุดนะเจ้าคะ”
สตรีนางนั้นตอบรับ “เอาสิ”
พวกนางถอยออกไปอย่างเงียบๆ ชิงหลวนเดินนำเข้าไปยังทางเล็กสายหนึ่ง
ชิงหลวนเดินไปพลางพูดกับอีกฝ่ายไปพลาง “โปรดอภัยที่บ่าวพูดมาก ฮูหยินมีรูปร่างเล็กบอบบาง เสียงพูดนุ่มเบา เป็นคนทางใต้หรือเจ้าคะ”
อิสตรีเจอคนชมย่อมจะดีใจ ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นสาวใช้ก็ยังยินดีจะพูดมากขึ้นสองประโยค “คนทางใต้? ข้าก็หวังว่าจะใช่เช่นกัน ท่านโหวของพวกข้าชอบสตรีทางใต้”
“แสดงว่าไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
“สาวใช้อย่างเจ้านี่ก็แปลกแท้ ข้าเกิดมาก็เป็นชาวฉางอัน”
“เช่นนี้นี่เอง…” ชิงหลวนรู้ว่าจำคนผิดไปแล้วก็ให้ห่อเหี่ยวใจอยู่บ้าง แต่ก็ถามอย่างพอมีความหวังอีกว่า “บ่าวได้ยินองค์หญิงตรัสว่าฉงเหอโหวพาสตรีนางหนึ่งกลับมาจากเจียงจั่วด้วย เป็นที่โปรดปรานยิ่งยวดทีเดียว”
สตรีนางนั้นสีหน้าเยียบเย็นลง “เป็นที่โปรดปราน? ฮึ ก็แค่ชั่วคราวเท่านั้นเอง ตอนนี้เป็นเพียงตัวอัปลักษณ์ ท่านโหวไม่แยแสนางโดยสิ้นเชิง…”
“ตัวอัปลักษณ์?” ในใจชิงหลวนรู้สึกฝาดเฝื่อนอยู่บ้าง “เหตุใดจึงเป็นตัวอัปลักษณ์เล่า ท่านโหวไม่ดีต่อนางหรือเจ้าคะ”
“ไยเจ้าจึงพูดมากปานนี้”
ชิงหลวนหุบปากทันที ก้มหน้าลง และคิดว่าในเมื่อฉงเหอโหวไม่ดีต่ออวิ่นจือ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องพาคนออกมาได้ให้…
เริ่มจะดึกแล้ว พวกนางเดินเลาะริมน้ำ ร่างกายจึงค่อยๆ รู้สึกหนาวเย็น
“ไฉนไกลเพียงนี้แล้วยังไม่ถึงเสียที”
ชิงหลวนหยุดฝีเท้าเล็กน้อย “ฮูหยิน บ่าวดูเหมือนว่า…จะหลงทางแล้วเจ้าค่ะ”
สตรีนางนั้นขนคิ้วตั้งชันในทันใด “เจ้า…เจ้าหลอกข้า!”
“บ่าวมิกล้า” ชิงหลวนทำท่าทางพินอบพิเทาเต็มที่ “บ่าวเป็นโรคหลงทิศทางนี้มาตั้งแต่เล็ก ปกติองค์หญิงก็ไม่วางพระทัยให้บ่าวออกมาข้างนอกคนเดียว…ทว่าฮูหยินอย่าได้ร้อนใจไป บ่าวยังจำทางขามาได้ กลางคืนนี้มีน้ำค้างมาก ฮูหยินรีบตามบ่าวกลับไปเถิดเจ้าค่ะ”
สตรีนางนั้นฟังน้ำเสียงยามพูดของชิงหลวนดูไม่เหมือนชาววังทั่วไป คราวนี้ได้ยินนางพูดว่า ‘องค์หญิงไม่วางพระทัย’ ยิ่งมั่นใจว่านางเป็นคนสนิทของฝูเป่าจึงไม่สะดวกจะติเตียน ได้แต่พูดอย่างโมโหว่า “ไปสิ!”
ครั้นกลับถึงตำหนักไท่จี๋งานเลี้ยงกำลังชื่นมื่น สตรีนางนั้นกลับถึงข้างกายฝูหมัวด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่งยวด แล้วก็เอียงศีรษะไปพูดบางอย่างกับฝ่ายหลัง
ฝูหมัวหันหน้ามามองชิงหลวน ชิงหลวนก็รีบหันหน้าหนี
โต้วหวั่นเอ๋อร์หาไปทั่ว ในที่สุดก็หาชิงหลวนพบเสียที จึงรีบลากนางกลับมาที่เดิม “เมื่อครู่ท่านไปที่ใดมา”
ชิงหลวนตอบว่า “ข้างในอบอ้าวเหลือเกินจึงออกไปเดินมาเล็กน้อย”
โต้วหวั่นเอ๋อร์จึงว่า “ที่นี่ไม่เหมือนข้างนอก ท่านอย่าเดินส่งเดช ระวังจะถูกพี่ชายข้าจับตัวเอา!”
“พี่ชายท่าน?”
“ใช่น่ะสิ เขาเป็นหัวหน้ากองราชองครักษ์เชียวนะ!”
“ข้าทราบแล้ว”
ชิงหลวนพูดเช่นนี้ แต่ที่สุดแล้วก็ไม่อยากปล่อยโอกาสนี้หลุดลอยไป นางนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ฝูหมัวบอกว่าจะไปจวนหวังเหมิ่งกับฝูเจียนแล้วพลันมีแผนการในใจ
นางอาศัยจังหวะที่ไม่มีใครสนใจเดินไปนอกตำหนักอย่างเงียบเชียบ พูดกับบ่าวรับใช้คนหนึ่งว่า “ข้าเป็นคนของจวนฉงเหอโหว รถลากของท่านโหวอยู่ที่ใด ข้าจะไปหยิบของสักหน่อย”
บ่าวรับใช้ผู้นั้นชี้มือไป “ด้านหน้า คันที่สาม”
ชิงหลวนเดินไปถึงหน้ารถลากคันนั้น ก่อนอาศัยจังหวะที่ไม่มีใครเห็นปีนขึ้นรถลากไป
ห้องในรถลากมีพื้นที่ค่อนข้างมาก หน้าตั่งที่นั่งมีโต๊ะยาววางไว้ตัวหนึ่ง ชิงหลวนแหวกผ้าที่คลุมโต๊ะออกแล้วมุดเข้าไป