ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน บทเพลงปณิธาน ตำนานวิหคโผบิน บทที่ 5-6
บทที่ 6 เพียงบรรเลงแด่ประชาราษฎร์
ได้ยินมู่หรงชงพูดมาเช่นนี้ ในสมองมู่เฉินก็มีเสียงดังสนั่นอึงอลในทันที นางกล่าวด้วยความตกตะลึง “ท่านรู้ได้เยี่ยงไร”
“ตรวจสอบสักหน่อยก็รู้แล้ว สตรีที่ฝูหมัวพากลับมาจากเจียงจั่วคือมู่อวิ่นจือบุตรสาวของสกุลมู่ เจ้าพูดอยู่ซ้ำๆ ว่าต้องการหาตัวน้องสาว เรื่องที่เห็นได้ชัดปานนี้ แม่นางมู่เป็นห่วงคนจนความคิดสับสนแล้ว” มู่หรงชงเห็นมู่เฉินมีสีหน้าเป็นกังวลก็กล่าวยิ้มๆ “เดิมทีข้ายังไม่แน่ใจ แต่เจ้าตอบสนองเยี่ยงนี้กลับทำให้ข้าแน่ใจแล้ว วันนี้ฝ่าบาทยังตรัสถึงเทวทูตจากเขาปี้ลั่วขณะอยู่ในท้องพระโรงด้วย หากทรงทราบว่าเจ้าอยู่ที่ฉางอันจะต้องดีพระทัยมากเป็นแน่”
เขาพูดตรงปานนี้มู่เฉินจึงตอบไปอย่างเปิดเผยด้วยเช่นกัน “มู่เฉินไร้ความสามารถ ในสถานการณ์เยี่ยงนี้กลับทำได้เพียงปิดบังชื่อแซ่แล้ว”
มู่หรงชงกล่าวว่า “ตอนเจ้ากับข้าพบหน้ากันครั้งแรกข้าก็มีเรื่องปิดบังเช่นกัน ผู้น้อยมู่หรงชง นามรองว่าเฟิ่งหวง ขอคารวะแม่นางมู่ เจ้าวางใจได้ ข้าได้คุยกับองค์หญิงซีชิ่งและแม่นางโต้วแล้ว จุดประสงค์ที่เจ้ามาที่นี่พวกนางจะไม่พูดกับผู้ใด”
“คุณชายมีน้ำใจหลายหน มู่เฉินขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้” มู่เฉินผงกศีรษะเล็กน้อย ก่อนพูดต่อไปว่า “รบกวนคุณชายเปลืองสมองแล้ว แต่ข้ามีน้องสาวคนนี้เพียงคนเดียว ในเมื่อมาถึงฉางอันแล้วก็จะต้องพบนางให้จงได้”
“มู่เฉินต้องการพบมู่อวิ่นจือนั้นง่ายดุจพลิกฝ่ามือ แต่หากเป็นชิงหลวนต้องการพบมู่อวิ่นจือกลับมิใช่เรื่องง่ายจริงๆ” มู่หรงชงเห็นมู่เฉินมีสีหน้าตรึกตรองก็กล่าวว่า “ในเมื่อข้าลั่นวาจาต่อพระพักตร์ฝ่าบาทแล้วว่าเจ้าเป็นคนของข้า วันหน้ายามอยู่ที่ฉางอันเจ้าก็ติดตามข้างกายข้าแล้วกัน ข้าจะพาเจ้าไปที่จวนฝูหมัว อย่างไรก็ดีกว่าเจ้าไปหาเองโดยปราศจากการไตร่ตรองมากนัก”
เห็นมู่เฉินมิได้รับคำ มู่หรงชงจึงกล่าวอีกว่า “เจ้ามาฉางอันได้หลายวัน คิดว่าคงจะค้นหาทุกวิถีทางแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังมิอาจสมความปรารถนา ซ้ำเมื่อครู่ยังหวิดจะเกิดเรื่องไม่คาดฝัน…”
มู่เฉินพลันหันหน้าไปมองเขา ก่อนจะถามว่า “เจ้าเมืองมู่หรง บทเพลงเมฆมงคลที่ท่านบรรเลงเมื่อครู่นี้ บรรเลงแด่ต้าฉินหรือบรรเลงแด่การฟื้นฟูเยียน”
มู่หรงชงชะงักเล็กน้อย สายตามองไปข้างหน้า เอ่ยตอบเชื่องช้าทว่าหนักแน่น “มิใช่แด่ต้าฉิน มิใช่แด่การฟื้นฟูเยียน เพียงบรรเลงแด่ประชาราษฎร์” เขามองราวสลักลายบุปผาที่อยู่ไกลๆ บนใบหน้าที่ซีดเล็กน้อยมีแวววาดหวัง “หลายสิบปีมานี้มีศึกสงครามมิหยุดหย่อน ภัยพิบัติหมุนเวียนสับเปลี่ยน ข้าเห็นแว่นแคว้นถูกทำลาย ชาวบ้านตกทุกข์ได้ยากด้วยตาตนเอง แม้จะไร้ความสามารถ แต่ในใจยังคงหวังว่าสักวันหนึ่งใต้หล้าจะมีสันติสุข”
มู่เฉินมองดูบุรุษหนุ่มในชุดสีนิลภายใต้ดวงจันทร์ผู้นี้ เขายืนปะทะลม สีหน้าสงบนิ่ง ในดวงตาประหนึ่งว่าสามารถบรรจุสรรพสิ่งในใต้หล้านี้ไว้ได้
นางอดไม่อยู่ เอ่ยปากขึ้นเบาๆ “ข้าเองก็เฝ้ารอการมาถึงของวันนั้นเช่นกัน ผู้เป็นหมอธำรงไว้ซึ่งคุณธรรม ผู้เป็นอาจารย์รักษาไว้ซึ่งปณิธาน จงไม่ถือครองบึงใหญ่แม่น้ำเลื่องชื่อ จงปล่อยใจไปตามธรรมชาติ หากมีความปรารถนานี้ มู่เฉินก็ขอติดตามเจ้าเมืองมู่หรงแล้วกัน”
วาจาของนางทะลุผ่านแสงจันทร์สกาวและสายลมเอื่อย พุ่งตรงเข้าก้นบึ้งหัวใจของมู่หรงชง อีกทั้งได้ก่อให้เกิดการสับเปลี่ยนแผ่นดินในอีกหลายปีให้หลัง
ฝูเจียนลงจากเกี้ยว มีบ่าวไพร่มายืนรออยู่สองข้างจวนสกุลหวังนานแล้ว พอเห็นฝูเจียนมาถึงก็คุกเข่าลงต้อนรับ เปล่งเสียงร้องดัง “ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี!”
ผู้ที่ยืนอยู่หน้าสุดเป็นคนอายุราวห้าสิบปีผู้หนึ่ง เขาคลุมเสื้อคลุมตัวใหญ่ ให้คนพยุงไว้ถึงสามารถยืนได้
ฝูเจียนเร่งฝีเท้าไปประคองเขาไว้ก่อนกล่าวว่า “จิ่งเลวี่ย ท่านไม่นอนบนเตียงดีๆ ออกมาทำอะไร!”
คนผู้นี้ก็คืออัครเสนาบดีหวังเหมิ่งชาวฮั่นที่ฝูเจียนไว้วางใจและพึ่งพาอาศัยเป็นอย่างมาก นามรองคือจิ่งเลวี่ย
หวังเหมิ่งตอบเสียงสั่น “กระหม่อมซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นอย่างสูง วันคล้ายวันพระราชสมภพของฝ่าบาทแท้ๆ ยังต้องเสด็จมาเยี่ยมคนที่ใกล้จะลงโลงอย่างกระหม่อม กระหม่อมปราศจากสิ่งใดตอบแทน มิกล้าไม่ออกมารับเสด็จพ่ะย่ะค่ะ”
ฝูเจียนประคองหวังเหมิ่งเดินเข้าด้านใน “จิ่งเลวี่ยอย่าพูดจาเหลวไหล ข้ายังรอวันที่ท่านกับข้าสองราชาและขุนนางขึ้นไปที่สูงด้วยกัน ไปชมดูผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่นับหมื่นหลี่แห่งนี้อยู่ภายใต้ฝ่าเท้า”
หวังเหมิ่งหยุดฝีเท้า มองดูรอบๆ เล็กน้อย ฝูเจียนเข้าใจความหมายของเขา จึงสั่งให้คนทั้งหมดถอยหลบไปให้เหลือเพียงพวกเขาสองคนในทันที
ฝูเจียนกล่าวว่า “จิ่งเลวี่ยมีเรื่องใดก็พูดมาได้เลย”
หวังเหมิ่งพลันโยนเสื้อคลุมบนตัวทิ้งไปด้านข้าง ก่อนคุกเข่าลงกับพื้น
“จิ่งเลวี่ย!”
ฝูเจียนก้าวไปทำท่าจะประคอง กลับถูกหวังเหมิ่งห้ามไว้ “ฝ่าบาทโปรดทรงสดับวาจาของกระหม่อมสักคำ”
“ท่านพูดมา”
หวังเหมิ่งยันตัวขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “ต้าฉินเรามีขุนนางและราษฎรอยู่สิบห้าล้านคน ในขณะที่ราชวงศ์จิ้นแห่งเจียงจั่วมีเพียงห้าล้านคน แต่กลับได้สืบทอดพระราชบัลลังก์ต่อเนื่องมาจากยุคฮั่นและเว่ย กระหม่อมทราบว่าพระราชประสงค์ในท้ายที่สุดของฝ่าบาทคือการปราบแดนใต้ รวบรวมจงหยวนเป็นหนึ่ง แต่เรื่องที่ฝ่าบาทมิอาจไม่ป้องกันไว้ก็คือภายในแคว้นฉินมีชนต่างเผ่ามากเกินไป ตำแหน่งหน้าที่ที่พวกเขาคุมอยู่ก็สำคัญเกินไป เมื่อใดที่ฝ่าบาททรงกรีธาทัพลงใต้ เป็นไปได้มากว่าชนต่างเผ่าเหล่านี้จะก่อกบฏต่อต้าฉิน ถึงเวลานั้นแนวหลังวุ่นวาย ต้าฉินเราก็จะเผชิญกับการโจมตีขนาบหน้าหลัง กระหม่อมมิทราบว่ายังจะอยู่ข้างพระวรกายฝ่าบาทไปได้อีกนานเพียงไร แต่ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ก็ให้วิตกจนยากจะข่มตาหลับได้! กระหม่อมกราบทูลขอร้องให้ฝ่าบาททรงพิจารณาให้ถี่ถ้วน หากไม่มั่นพระทัยเต็มที่ก็อย่าทรงยกทัพไปปราบแดนใต้เลย!”
ฝูเจียนไม่ใช่เพิ่งเคยได้ยินหวังเหมิ่งพูดเช่นนี้เป็นหนแรก ขุนนางทรงอำนาจแห่งต้าฉินก็ไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวที่เคยเอ่ยวาจาทำนองนี้ แต่ความคิดขยายดินแดนลงใต้ในใจของฝูเจียนกลับมิเคยลบเลือนไป ย้ายไปตั้งมั่นทางใต้เพื่อสัมผัสกลิ่นอายวิถีชีวิตแห่งเจียงจั่ว นี่คือความฝันในตลอดหลายปีมานี้ของเขา