สายลมราตรีหนาวเย็น เห็นหวังเหมิ่งที่สูงวัยคุกเข่าอยู่บนพื้น สุดท้ายแล้วฝูเจียนก็ไม่อาจใจแข็งอยู่ได้ ก้าวไปประคองเขาลุกขึ้น “จิ่งเลวี่ย ท่านคิดว่าข้าใจกว้างไม่พอหรือ”
หวังเหมิ่งส่ายหน้า “มิได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงพระเมตตา”
“เช่นนั้นท่านคิดว่าความเมตตาของข้าไม่เพียงพอที่จะกล่อมเกลาผู้อื่น?”
หวังเหมิ่งคิดเล็กน้อย ยังคงส่ายหน้า “แม้ว่าบัดนี้คนทั้งหมดจะล้วนซ่อนเร้นไว้อย่างดี แต่กระหม่อมเชื่อว่าที่สุดแล้วก็ยังจะมีผู้ที่ไม่หวั่นไหว”
นับตั้งแต่ยุคฮั่นและเว่ยความไม่สงบที่เกิดทั่วทั้งใต้หล้าก็คือประวัติศาสตร์การฆ่าล้างกันเองในเผ่าครั้งใหญ่ พี่น้องเข่นฆ่ากัน บิดาบุตรทำร้ายกัน ตัวอย่างเช่นนี้มีให้ยกมาไม่หวาดไม่ไหว
ฝูเจียนรู้ว่าวาจาของหวังเหมิ่งมีเหตุผล แต่เขายังคงเชื่อว่าความใจกว้างของตนเองสามารถทำให้ชาวเผ่าต่างๆ ที่สวามิภักดิ์ต่อเขาซาบซึ้งใจได้ ภายภาคหน้าก็สามารถทำให้ราชวงศ์จิ้นแห่งเจียงจั่วซาบซึ้งใจได้เช่นกัน นั่นเป็นหลักการสำคัญที่สุดที่จงหยวนสืบทอดกันมาทุกยุคทุกสมัย เป็นความมุ่งหวังนับหลายสิบปีที่เขาใฝ่หาจากในตำราโบราณของชาวฮั่นมาตั้งแต่เยาว์วัย
“จิ่งเลวี่ย ท่านรู้มาตลอดว่าการทำให้ใต้หล้าสามัคคี ทำให้สกุลซือหม่า สกุลหวัง สกุลเซี่ยกับเผ่าตี เผ่าเชียง เผ่าเซียนเปยดื่มร่วมโต๊ะกันได้เป็นแผนการที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตนี้ของข้า”
หวังเหมิ่งฟังมาถึงตรงนี้ก็แทบจะน้ำตาไหลพราก แล้วนี่มิใช่ความมุ่งหวังของเขาเสียที่ใดกัน ใต้หล้าโกลาหลมานานแล้ว เขารับใช้ชาวตีด้วยฐานะชาวฮั่นก็เพียงเพราะเชื่อว่าเจ้านายผู้ปรีชาตรงหน้านี้มีความมุ่งหวังเหมือนกันกับเขา ทว่าเขาเองก็รู้เช่นกันว่าความมุ่งหวังนี้เกรงว่าคงมิอาจเป็นจริงได้ในชั่วชีวิตของเขา
ฝูเจียนมองหวังเหมิ่งพลางว่า “หากจะกล่าวถึงต่างเผ่า จิ่งเลวี่ย ท่านเป็นชาวฮั่น แต่สิบแปดปีมานี้ข้าไว้ใจและพึ่งพาท่านเพียงนี้ ไม่เคยเกิดความกินแหนงแคลงใจเนื่องมาจากความต่างของชนเผ่าเลยสักครั้งเดียว!”
หวังเหมิ่งทำท่าจะลงไปคุกเข่าอีกครั้ง เพิ่งจะโน้มศีรษะก็ถูกฝูเจียนประคองไว้ “จิ่งเลวี่ย นับแต่นี้เป็นต้นไปท่านไม่ต้องคุกเข่าให้ข้าอีก ไม่มีท่านก็ไม่มีข้าในวันนี้ ยิ่งไม่มีต้าฉินในปัจจุบัน”
ในชั่วขณะนั้นหวังเหมิ่งคล้ายหายป่วยเป็นปลิดทิ้ง มองฝูเจียนด้วยสองตาวาวโรจน์ กล่าวทีละคำว่า “กระหม่อมถึงตายก็มิเสียดายแล้ว!”
หลังฝูเจียนจากไปหวังเหมิ่งก็ยืนรับลมคนเดียวอยู่เป็นนาน
ไม่นานบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งก็เดินมาค้อมตัวคารวะ “อาจารย์ ได้ข่าวแล้วขอรับ หญิงสาวสกุลมู่ที่มีนามว่ามู่เฉินผู้นั้นมาแคว้นฉินจริงๆ เมื่อครึ่งชั่วยามก่อนนางได้สนทนากับมู่หรงชง ทว่ามิทราบเรื่องที่สนทนา”
“นางถึงกับ…ต้องการพึ่งพาชาวเซียนเปย?” หวังเหมิ่งไอเบาๆ สองที “เจ้าบอกมาที เหตุใดเซี่ยอันถึงไม่สังหารนาง”
บุรุษหนุ่มตอบว่า “ใต้เท้าเซี่ยมีนิสัยเยี่ยงนี้ ไม่ชอบบังคับฝืนใจใคร ไม่ชอบเข่นฆ่าคนโดยไร้สาเหตุ”
“เป็นเช่นนี้หรอกหรือ”
บุรุษหนุ่มตอบอีกว่า “ที่สำคัญยิ่งกว่าคือเขาไม่คิดว่าหินก้อนเล็กก้อนนี้จะก่อกวนสถานการณ์ในใต้หล้าได้ขอรับ”
หวังเหมิ่งเริ่มไอโขลกอย่างรุนแรง บุรุษหนุ่มกุลีกุจอก้าวไปประคองเขาไว้ “อาจารย์โปรดรักษาสุขภาพด้วย ข้าจะประคองท่านกลับห้อง”
หวังเหมิ่งยืนอยู่ที่เดิม ไม่รีบร้อนจากไป เพียงเอ่ยถามเชื่องช้า “จิ่งสิงเอ๋ย เช่นนั้นเจ้าบอกมาซิว่าคนที่เซี่ยอันผู้นี้ไม่ฆ่าทิ้ง ข้าควรฆ่าหรือไม่ฆ่าดีเล่า”
บุรุษหนุ่มก้มหน้า ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้ตอบว่า “ศิษย์มิทราบขอรับ”
“อันที่จริงเจ้ารู้แล้วต่างหาก” หวังเหมิ่งตบหลังมือเขาเบาๆ “หากข้ายังมีชีวิตอยู่ได้อีกสักสิบปีก็จะไม่ไปแตะต้องนางเหมือนกับที่อันสือทำ แต่บัดนี้…เวลาใกล้มาถึงแล้ว ข้าไม่กล้าปล่อยอันตรายใดๆ เอาไว้ ถึงแม้ว่า…จะเป็นเพียงหินก้อนเล็กก้อนหนึ่งก็ตามที”
“อาจารย์…” บุรุษหนุ่มขยับปาก ทว่าสองพยางค์นั้นกลับแผ่วเบาจนเหมือนแทบไม่ได้ยิน เลือนหายไปในสายลมเย็นในชั่วพริบตา
มู่หรงชงมาถึงตำหนักชีอู๋กะทันหัน ชุนหยานางกำนัลที่เฝ้าประตูตกใจจนสะดุ้งโหยง นางทำความเคารพอย่างลุกลี้ลุกลน “บ่าวคารวะเจ้าเมืองผิงหยาง”
“ไม่ต้องมากพิธี” มู่หรงชงเอ่ยถาม “ฟูเหรินหลับแล้วหรือ”
ชุนหยาตอบ “ยังเจ้าค่ะ บ่าวจะไปรายงานให้เจ้าค่ะ”
มู่หรงชงไม่รอให้นางไปรายงานก็เดินตรงเข้าด้านใน ทางหนึ่งตะโกนว่า “พี่หญิง ข้าเข้ามาแล้ว!”
มู่หรงจิ่นเพิ่งเตรียมจะถอดชุดตัวนอก พอได้ยินเสียงของมู่หรงชงก็สวมเสื้อผ้ากลับไปใหม่ เสร็จแล้วก็เดินออกมาต้อนรับ “เฟิ่งหวงเอ๋อร์ ไยจึงมาเสียดึกปานนี้”