บทที่ 7 แผนใหญ่ในการฟื้นฟูเยียน
มู่หรงชงไม่รู้ว่าเหตุใดมู่เฉินจึงยอมเลือกเขา เป็นเพราะบทเพลงเมฆมงคลนั้นจริงๆ หรือเป็นเพราะเขาปิดบังความตั้งใจที่จะแก้แค้นไว้สำเร็จโดยใช้ประชาราษฎร์มาเป็นข้ออ้าง
ไม่ว่าเป็นอย่างใด เทวทูตแห่งเขาปี้ลั่วในตำนานผู้นี้ท้ายที่สุดก็ยืนอยู่ข้างข้า คิดถึงตรงนี้มู่หรงชงก็พลันรู้สึกว่าความอดทนอดกลั้นตลอดหลายปีที่ผ่านมาดูจะไม่ได้ยากเกินทนถึงเพียงนั้นแล้ว
มือเขาค่อยๆ กำแน่นเป็นหมัด จ้องมองขอบฟ้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีขาวพลางกล่าวเสียงกระซิบ “สวรรค์เบื้องบนเป็นพยาน ตราบใดที่เฟิ่งหวงยังมีชีวิตอยู่ จักฟื้นฟูต้าเยียนให้จงได้”
หมอกบางเบาตรงหน้าค่อยๆ สลายตัวไป หมู่เรือนค่อยๆ ปรากฏเค้าโครงเลือนรางท่ามกลางแสงตะวัน
มู่หรงชงคลับคล้ายนึกขึ้นได้ว่าในช่วงที่หนาวที่สุดในฤดูหนาวเมื่อห้าปีก่อนเขากับเหล่าคนในเผ่าของเขาแบกชื่อว่าสิ้นแคว้น ดั้นด้นเดินทางผ่านที่ราบซึ่งปกคลุมด้วยหิมะน้ำแข็งมุ่งหน้ามาทางตะวันตก จวบจนปัจจุบันเขายังคงจดจำความหนาวเย็นจากการที่หิมะสะสมเปียกซึมผ่านถุงเท้ารองเท้านั้นได้ บุรุษชาวเซียนเปยเปลี่ยนจากที่เงียบขรึมอยู่แล้วเป็นยิ่งเงียบขรึมกว่าเดิม น้ำตาของเด็กและสตรีชาวเซียนเปยถูกลมเหนือพัดจนแห้ง พวกเขาเดินบนทุ่งร้างราวกับฝูงผีไร้ญาติจำนวนมหาศาล ยามเดินมาถึงแม่น้ำป้าเหอ ริมแม่น้ำมีขบวนคนที่มาต้อนรับฝูเจียนซึ่งกลับมาพร้อมชัยชนะยืนอยู่เต็ม มีคนขับร้องว่า ‘สีใบหลิวสดใหม่ ผู้จากไปย้อนคืนมา’
มู่หรงชงจดจำได้ตลอดมา ท่ามกลางขบวนคนในเวลานั้นนอกจากบุรุษชาวเซียนเปยผู้เงียบขรึมร่ำไห้แล้ว สตรีชาวเซียนเปยที่หลั่งน้ำตาจนแห้งผากก็ร่ำไห้แล้วเช่นกัน สุดท้ายเด็กๆ ก็เริ่มร้องเพลงขึ้นว่า
‘หยกงามแด่เจ้า ฝันเก่าคลุมเครือ
สลักซวิน ดินเผา มิมีเหน็ดเหนื่อย
โกฐจุฬาลัมพาชั่วนา ทุ่งร้างตาปี
ผืนป่างอกงามดี สุรีย์ใกล้ลับลา’
ต่อมามู่หรงเหว่ยฮ่องเต้แคว้นเยียนในกาลก่อน สนมชายา วงศาคณาญาติ ขุนนางทั้งบุ๋นบู๊ของเขาก็ต่างเปล่งเสียงร้องขึ้นตามกัน
ฝูเจียนไม่ไยดีพวกเขา เนื่องจากท่ามกลางเสียงโห่ร้องที่ดังกึกก้องของกองทัพฉิน เสียงของพวกเขาจึงดูไร้ค่าให้กล่าวถึง
บทเพลงนี้เป็นพี่หงสอนเขา
มู่หรงชงคิดถึงว่าคืนนี้จะได้พบมู่หรงหงก็อดจะเริ่มครวญทำนองที่อยู่ในความทรงจำขึ้นมาไม่ได้
“โกฐจุฬาลัมพาชั่วนา ทุ่งร้างตาปี
ผืนป่างอกงามดี สุรีย์ใกล้ลับลา”
ความหลังเปรียบดั่งทุ่งรกร้าง ส่วนการหลงลืมเปรียบดั่งแม่น้ำที่เป็นน้ำแข็ง เขายืนอยู่ตรงนี้ เผชิญหน้ากับความว่างเปล่ามหึมาจากการถูกคนหลงลืม อยากจะทำให้สีสันที่เผือดหายไปและบทสนทนาเหล่านั้นปรากฏขึ้นอีกครั้ง แต่สิ่งที่ดวงตามองเห็นมีเพียงสีขาวอันน่าสังเวชที่ราวกับลอยอยู่บนผิวทะเล
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังมาจากด้านหลัง เขาไม่ทันหันกลับไปผู้มาก็เอ่ยขึ้นว่า “คุณชายตื่นเร็วจริง”
มู่หรงชงเห็นว่าเป็นมู่เฉิน นางสวมชุดลำลอง ในมือถือตะกร้าใบเล็กไว้ใบหนึ่ง มองเห็นมู่หรงชงจ้องตะกร้าของนาง นางก็กล่าวยิ้มๆ “หอมมากใช่หรือไม่ อาหารว่างยามเช้าที่ข้าทำเอง อยากลองชิมหรือไม่”
“เอาสิ” มู่หรงชงตอบพลางเดินไปยังศาลาเล็กทางด้านหน้า “ลับหลังผู้อื่นเจ้ากับข้ามิใช่นายบ่าว เรียกข้าว่าเฟิ่งหวงก็ได้”
คนทั้งสองเดินเข้ามาในศาลา มู่เฉินวางตะกร้าใบเล็กลงบนโต๊ะศิลา เปิดฝาหยิบซาลาเปาลูกน้อยที่บรรจงทำออกมาหนึ่งจานก่อนเอ่ยว่า “มีสารพัดรสชาติเลย เชิญกินได้ตามสบาย”
มู่หรงชงหยิบบรรดาซาลาเปาขนาดเท่าครึ่งฝ่ามือมาถือไว้ในมือ “เจ้าตื่นแต่เช้ามาทำสิ่งนี้?”
“มีสิ่งใดไม่ถูกต้องหรือ” มู่เฉินพูดยิ้มๆ “เรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตคน เมื่อก่อนข้าทำกับข้าวกินเองทุกวัน หลายปีมานี้ฝีมือนับว่าไม่เลว”
มู่หรงชงกัดไปคำหนึ่ง เป็นไส้เม็ดบัวหอมสดชื่น เขาพยักหน้าพลางเอ่ยชม “ไม่เลวจริงๆ”
มู่เฉินเองก็หยิบลูกหนึ่งขึ้นมาพลางถามว่า “เมื่อครู่ท่านร้องเพลงอะไร”
“เพลงรบของเซียนเปย”