มือของมู่หรงชงสั่นน้อยๆ สุดท้ายก็มิได้ชักกลับไป ปล่อยให้มือถูกฝูเจียนกุมเอาไว้
เปลวเพลิงแห่งความเศร้ารวมถึงความโกรธในหัวใจมู่หรงชงลุกโชนขึ้นในทันใด แต่กลับไม่สามารถแสดงออกมาได้แม้เพียงน้อยนิด
มู่หรงชงกัดฟันอยู่ชั่วประเดี๋ยว สายตาตวัดมองผ่านเบ้าตาที่แดงเรื่อของมู่หรงจิ่น กล่าวนิ่งๆ ว่า “ฝ่าบาท ได้ข่าวว่าอุทยานซั่งหลินมีกวาง เฟิ่งหวงใคร่จะไปล่าสัตว์”
“เฟิ่งหวงเอ๋อร์โตแล้วจริงๆ ด้วย เดิมทีเห็นเจ้ายังปวกเปียกอยู่บ้าง บัดนี้ถึงกับสนใจการล่าสัตว์เสียแล้ว” ฝูเจียนกล่าวยิ้มๆ “ได้ เช่นนั้นอีกสองสามวันเราจะไปกับเจ้า”
มู่หรงจิ่นหวั่นวิตกอยู่บ้าง “ซั่งหลินเป็นซากปรักหักพัง ไม่เพียงมีกวาง ยังมีเสือมีหมาป่าปรากฏตัว ฝ่าบาทกับเฟิ่งหวงเอ๋อร์ต้องพาคนไปให้มากหน่อยนะเพคะ”
ฝูเจียนตอบ “ได้ พวกเรามาล่าสัตว์กัน เรียกคนไปมากหน่อย จะได้ครึกครื้น”
มู่หรงชงจึงกล่าวว่า “เฟิ่งหวงจะล่าให้ได้หนังดี นำมาทำชุดให้พี่หญิง”
มู่หรงจิ่นกล่าวอย่างอ่อนโยน “เฟิ่งหวงเอ๋อร์มีใจแล้ว”
ฝูเจียนเห็นพี่น้องสองคนนี้อยู่เคียงข้างกาย สนทนาหัวร่อต่อกระซิกกันก็อดจะนึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อไม่กี่ปีก่อนไม่ได้ ยามนั้นพวกเขาล้วนยังเป็นเด็ก แรกมาถึงวังหลวงแคว้นฉินยังอิดออด ทำให้เปลืองความคิดความอ่านของเขาไปไม่น้อย
เขาจ้องมองมู่หรงชง มองแล้วมองอีก เลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดความคิดเช่นนั้นขึ้นมาครามครัน จึงบีบมือตนเอง “ให้ชุนหยาไปเก็บห้องเดิมของเฟิ่งหวงเอ๋อร์ให้แล้ว คืนนี้เจ้าค้างที่นี่แล้วกัน”
ความหมายในคำพูดของฝูเจียนชัดเจนยิ่ง มู่หรงชงกับมู่หรงจิ่นตะลึงงันไปในทันที
มู่หรงจิ่นยังไม่หายตะลึง มู่หรงชงกลับค้อมตัวลง “ฝ่าบาททรงปฏิบัติต่อกระหม่อมเป็นอย่างดี เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
ฝูเจียนพอใจกับคำตอบของเขามากจึงลุกขึ้นกล่าวว่า “เรายังมีธุระ จะมาดึกหน่อย จิ่นเอ๋อร์ เจ้าอย่าลุกขึ้นมา พักผ่อนให้ดี”
มู่หรงชงเดินไปส่งฝูเจียน ขณะกลับเข้าห้องก็เห็นมู่หรงจิ่นนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางหวาดหวั่นระคนเศร้าสร้อย น้ำตาหลั่งรินลงมาเป็นสาย ก่อนพูดเสียงสั่นเครือ “เหตุใดเขา…ยังไม่ยอมปล่อยเจ้าไปอีก”
มู่หรงชงนั่งลงริมเตียงนาง เอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้นาง “พี่หญิง ชงเอ๋อร์ไร้ความสามารถ ไม่อาจปกป้องท่านกับ…”
มู่หรงจิ่นตัดบทเขา “หรือจะให้ข้าคลอดลูกให้เขาจริงๆ เล่า”
มู่หรงชงกุมมือนางไว้แน่น “พี่หญิง ทุกสิ่งทุกอย่างในหลายปีมานี้ข้าไม่มีทางลืม สักวันหนึ่งพวกเราจะทวงคืนกลับมาทุกเศษเสี้ยว”
“พี่หญิงจะรอ พี่หญิงเชื่อพวกเจ้า” มู่หรงจิ่นมองมู่หรงชง “ทว่าคืนนี้เจ้าจะทำอย่างไร”
“ข้าย่อมมีวิธี พี่หญิงท่านนอนสักครู่เถิด ข้าจะกลับไป แล้วดึกหน่อยจะกลับมา”
มู่หรงชงพูดพลางกำมือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้ออย่างช้าๆ จนแน่น เส้นเลือดดำที่หลังมือโปนออกมา ฝ่ามือถูกเล็บแทงเข้าเนื้อแล้วเขาก็ยังไม่รู้สึกเจ็บ
มู่เฉินเดินเล่นในสวนเสร็จรอบหนึ่ง ระหว่างทางกลับได้บังเอิญเจอเข้ากับมู่หรงหย่งที่กำลังเดินอย่างรีบร้อน หวิดจะชนถูกนางเข้า
“แม่นาง ขออภัยด้วย ข้ารีบเดินเกินไป”
“ประเดี๋ยวก่อน!” มู่หรงหย่งเพิ่งทำท่าจะจากไปมู่เฉินกลับเรียกเขาไว้ “ในมือเจ้าถือสิ่งใดไว้”
มู่หรงหย่งซ่อนขวดกระเบื้องเคลือบใบเล็กนั้นไว้ข้างหลัง “ไม่มีสิ่งใด”
“เจ้าเห็นว่าข้าตาบอดหรือ” มู่เฉินยื่นมือออกไป “ให้ข้าดูหน่อย”
มู่หรงหย่งกล่าว “แม่นาง นี่เป็นของที่นายท่านของข้าต้องการ ท่านอย่าทำให้ข้าลำบากใจเลย…”
มู่เฉินเร่ง “เอามา!”
มู่หรงหย่งได้แต่วางขวดกระเบื้องเคลือบลงบนมือมู่เฉิน
มู่เฉินเปิดออกดม หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย “เขาต้องการสิ่งนี้ไปทำอะไร”
“ท่านอย่าถามเลย ข้าต้องรีบนำไปให้เขา ขอตัวก่อนแล้ว!”
มู่เฉินมองเขารีบเร่งจากไป หลังยืนอยู่ที่เดิมได้ครู่หนึ่งก็ตามไปด้วย