มู่หรงชงพักผ่อนอยู่ถึงช่วงพลบค่ำ สามารถเดินเหินได้เล็กน้อยแล้วถึงได้ให้มู่หรงหย่งประคองไปยังตำหนักชีอู๋
ขันทีพาเขาไปส่งยังห้องที่เคยพักเมื่อสามปีก่อน ภายในห้องไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ มู่หรงจิ่นรู้ความเคยชินของเขาว่าไม่ชอบให้ในห้องมีสิ่งของเกินจำเป็น เป็นเหตุให้ห้องดูเงียบเหงาวังเวง ไม่มีของประดับแม้แต่ชิ้นเดียว
มู่หรงจิ่นหลับมาตลอดทั้งบ่ายยังไม่ตื่น ชุนหยาเห็นมู่หรงชงกลับมาก็ทำท่าจะไปปลุกนาง กลับถูกมู่หรงชงห้ามไว้
ในเวลานี้เองฝูเจียนได้มาถึงแล้ว
เขาแต่งตัวง่ายๆ ข้างกายพามาเพียงซ่งหยา ครั้นเห็นมู่หรงชงมีสีหน้าไม่ดีจึงถามอย่างค่อนข้างแปลกใจ “เฟิ่งหวงเอ๋อร์ไม่สบาย? อยากกินอะไรบ้าง จะได้ให้ซ่งหยาไปเตรียมมา”
มู่หรงชงตอบ “กินแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงใคร่จะสนทนากับฝ่าบาทตามลำพังสักครู่หนึ่ง”
ซ่งหยาถอยออกไปอย่างรู้กาลเทศะ
ฝูเจียนนั่งลงข้างกายมู่หรงชง นั่งใกล้อย่างมาก “เฟิ่งหวงเอ๋อร์ จากกันสามปี เราคิดถึงเจ้ามากจริงๆ เจ้าดื่มเป็นเพื่อนเราสักสองจอกก่อนดีหรือไม่” เขาพูดพลางใช้มือหนึ่งหยิบจอกสุรา อีกมือเลื่อนไปที่บั้นเอวของมู่หรงชง
มู่หรงชงพลันลุกขึ้นยืน เนื่องด้วยบนขามีแผลจึงทรงตัวยืนได้ไม่มั่นคง ร่างโงนเงนเบาๆ
ฝูเจียนสังเกตเห็นท่าทางผิดปกติของเขา สายตาเลื่อนไปตกตรงจุดที่เขาบาดเจ็บ ก่อนเอ่ยถามว่า “เป็นกระไรไป”
มู่หรงชงทนเจ็บคุกเข่าลงตอบ “ฝ่าบาท เฟิ่งหวงจะอย่างไรก็เป็นบุรุษเพศ หากฝ่าบาทมีพระราชประสงค์จะกระทำเยี่ยงนี้ให้จงได้ เฟิ่งหวงก็มีเพียงใช้ความตายชดใช้ความผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฝูเจียนสะบัดมือ จอกสุราแตกกระจายเต็มพื้น
“จิ่งเลวี่ยเตือนเรามาตลอด บอกว่าพวกเจ้าชาวสกุลมู่หรงเป็นพวกเลี้ยงไม่เชื่อง” ฝูเจียนเดินมาตรงหน้ามู่หรงชง ย่อตัวลงใช้มือหนึ่งบีบคางเขา “เฟิ่งหวงเอ๋อร์ เราเลี้ยงพวกเจ้ามาตั้งหลายปี เจ้าลองบอกมาที ใช่เลี้ยงไม่เชื่องจริงหรือไม่”
มู่หรงชงเงยหน้าขึ้นมองฝูเจียนด้วยแรงจากมืออีกฝ่าย เขาใช้แววตาที่ดูเชื่อฟังว่าง่ายที่สุดตอบว่า “วาจาของอัครเสนาบดีหวัง ฝ่าบาททรงเชื่อถือที่สุด สามปีก่อนก็เป็นเพราะคำเตือนจากอัครเสนาบดีหวัง ฝ่าบาทถึงได้ทรงให้เฟิ่งหวงออกจากฉางอันไปที่ผิงหยาง…”
“เจ้าโทษเรา?”
“มิใช่พ่ะย่ะค่ะ เฟิ่งหวงมิได้โทษ บุญคุณที่ฝ่าบาททรงมีต่อพวกกระหม่อมพี่น้องและสกุลมู่หรง เฟิ่งหวงถึงตายก็มิกล้าลืม แต่กระหม่อมก็มิสามารถพูดเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับอัครเสนาบดีหวังต่อพระพักตร์ฝ่าบาทได้…” มู่หรงชงมองฝูเจียน ความเจ็บแค้นคับข้องใจแสดงออกมาทางสีแดงในดวงตา “เฟิ่งหวงขอกล่าวเพียงประโยคเดียว เกิดเป็นบุรุษ เฟิ่งหวงยอมตายเพื่อฝ่าบาท”
ฝูเจียนหรี่ตา “ฆ่าตาย…แต่หยามมิได้?”
“ฝ่าบาทไม่เพียงมิได้หยามกระหม่อม กลับทรงให้ความโปรดปรานแก่กระหม่อม กระหม่อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ จึงยินดีใช้ความตายเป็นการทดแทน แต่ทว่า…กระหม่อมกับฝ่าบาท…มีความชมชอบต่างกันจริงๆ”
มู่หรงชงมองดูประกายอันตรายในดวงตาฝูเจียน แทบจะกลั้นหายใจ
เนิ่นนานแววตาอันตรายนั้นถึงได้ค่อยๆ จางไป ฝูเจียนเพียงกล่าวเบาๆ ประโยคเดียว “มีก็แค่เจ้าที่กล้าพูดเรื่องเช่นนี้”