“อยู่ข้างหน้านี้แล้ว เดินผ่านลำธารสายนี้…” คำพูดยังกล่าวไม่ทันจบ นักพรตกลับชะงักฝีเท้าอย่างกะทันหัน สองเท้าหยุดนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอีกเลย
พวกลิ่นเซี่ยวต่างรู้สึกแปลกใจ ฉางหรงเอ่ยถามขึ้นทันทีว่า “มีอะไรรึ” จนกระทั่งเขามองเห็นภาพตรงหน้าชัดเจน คำพูดที่เหลือก็เหมือนโดนคนบีบคอไว้จนกลืนหายไปทันควัน
สายตามองเห็นว่ามีสตรีวัยแรกแย้มนางหนึ่งนั่งยองอยู่ริมลำธาร นางกำลังค้อมกายลงสระเส้นผมยาวสลวย นางสระผมอย่างตั้งอกตั้งใจ แขนเสื้อสีแดงเข้มลื่นไหลตามจังหวะการเคลื่อนไหวไปจนถึงข้อศอก เผยให้เห็นช่วงแขนเรียวเล็ก ผิวขาวผุดผาดดูไม่เหมือนสีสันใดในโลกมนุษย์
แสงจันทร์งดงามราวกับผ้าไหมสีเงินชั้นเลิศสาดส่องลงมา ห่อหุ้มเรือนร่างของนางด้วยแสงสีเงินเอาไว้อย่างอ่อนโยน
สิ่งที่น่าประหลาดใจกว่านั้นคือ เสียงความเคลื่อนไหวร้อนรนผิดปกติของสรรพสิ่งในหุบเขากลับคืนสู่ความสงบพร้อมกับการปรากฏกายของสตรีนางนี้ ท่ามกลางความเงียบสงัดได้ยินเพียงเสียงนางเอามือวักน้ำขึ้นมาภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่อง
พวกลิ่นเซี่ยวต่างโดนภาพเหตุการณ์ตรงหน้าสยบจนอยู่หมัด ทุกคนจมอยู่ในความเงียบงันเนิ่นนาน
ผ่านไปพักใหญ่ ไม่รู้ว่าใครเค้นวาจาออกมาประโยคหนึ่งอย่างยากเย็น
“ดูท่าวันนี้ใครก็ไปที่ใดไม่ได้แล้ว”
พวกลิ่นเซี่ยวล้วนเป็นคนที่เกิดและเติบโตในเมืองฉางอัน เรื่องเล่าขานเกี่ยวกับภูตผีปีศาจในเมืองแห่งนี้มีมากมาย อย่างเช่นยักษ์หน้าตาดุร้ายอัปลักษณ์ มีเสียงเล่าลือว่ามันหน้าตาน่ากลัวเพียงใด ดวงตาใหญ่โตดั่งระฆังทองแดง เดินเข้าออกเมืองฉางอันยามดึกสงัด พอพบผู้สัญจรผ่านยามค่ำคืนก็จะกวัดแกว่งขวานจากนรกฟันกะโหลกศีรษะของอีกฝ่ายอย่างไร้ความปรานี
เมื่อครั้งลิ่นเซี่ยวยังเด็กต้องคร่ำเคร่งอยู่กับการเรียนวิชาทั้งบุ๋นบู๊ มารดาอบรมสั่งสอนเขาอย่างเข้มงวด ไม่เคยเล่าเรื่องเช่นนี้ให้ฟัง แต่ลิ่นเซี่ยวมีแม่นมอยู่คนหนึ่งนามเวินกู…หรือก็คือมารดาของฉางหรง นางมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับภูตผีปีศาจอัดแน่นเต็มท้องไปหมด จึงมักจะเล่าให้เขาฟังอยู่บ่อยๆ
‘ถ้าเกิดตอนกลางดึกเห็นเด็กน้อยสวมเอี๊ยมกระโดดเชือกอยู่ คุณชายน้อยจะต้องหลบไปให้ไกลเลยนะเจ้าคะ’
ใบหน้าของเวินกูขาวเนียนกระจ่างใส เสื้อผ้าที่นางสวมใส่มีกลิ่นหอมเจือจางของดอกหลิงหลัน ลิ่นเซี่ยวซุกหน้าลงในอ้อมกอดของนางแล้วผล็อยหลับไปด้วยความง่วงงุน
‘เพราะอะไรกัน’ ฉางหรงที่ยืนมองอยู่ข้างมารดาด้วยความอิจฉาอดถามขึ้นไม่ได้ นั่นคือมารดาของเขานะ ตอนนี้เขาอยากให้คนที่มารดากอดเอาไว้เป็นเขาอย่างยิ่ง ฉางหรงจึงพยายามคว้าสาบเสื้อของมารดาเบาๆ อยากจะเข้าใกล้นางให้มากกว่านี้อีกนิด
‘ชู่ววว…’ มารดาส่งสัญญาณให้เขาเงียบเสียงลง ‘คุณชายน้อยหลับไปแล้ว’
‘ข้ายังไม่หลับสักหน่อย’ ลิ่นเซี่ยวรีบเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาของเขาส่องประกายสุกใสราวกับดวงดาวที่งดงามเจิดจ้าที่สุดบนท้องฟ้า ‘ข้ายังไม่หลับนะ แม่นม ท่านรีบเล่ามาเร็ว เพราะอะไรพวกเราต้องอยู่ให้ห่างจากเด็กน้อยกระโดดเชือกด้วย’
เด็กคนนี้!
เวินกูหัวเราะพลางยื่นมือมาลูบแก้มขาวสะอาดดั่งหยกของลิ่นเซี่ยวแล้วเอ่ย
‘ก็เพราะว่าเด็กน้อยกระโดดเชือกจะถามคนที่ผ่านทางมาว่าเมื่อครู่ข้ากระโดดได้กี่ครั้ง เจ้าช่วยข้านับไว้หรือไม่ ถ้าเกิดคนผู้นั้นพลั้งเผลอตอบออกไปจำนวนหนึ่ง คงจะหมดทางรอดแน่แล้ว ความจริงแล้วเด็กน้อยก็คือวิญญาณอาฆาตที่มาคร่าชีวิตคน จำนวนที่คนผ่านทางตอบไปก็คือวันที่เด็กน้อยจะไปรับวิญญาณน่ะสิ!’
‘อูยยย…’ ลิ่นเซี่ยวตัวน้อยกับฉางหรงตัวน้อยพร้อมใจกันสูดลมหายใจอย่างหนาวเหน็บ
ภาพเบื้องหน้าของลิ่นเซี่ยวสั่นไหว ใบหน้าของแม่นมกลับกลายเป็นอีกใบหน้าหนึ่ง เด็กสาวผู้นี้อายุประมาณสิบสี่สิบห้าปี นางมีนัยน์ตาสีดำสนิทดุจบ่อน้ำลึก แสงจันทร์ที่สาดส่องมายังผิวน้ำในลำธารขับเน้นให้ดวงหน้านี้แลดูประณีตงดงามอย่างยิ่ง ผิวขาวกระจ่างชุ่มชื้น เครื่องหน้าได้สัดส่วนทั้งยังดูละเอียดพิถีพิถันยิ่ง ริมฝีปากอวบอิ่มเย้ายวน แต่น่าเสียดายที่เป็นสีแดงเข้มจัดจ้าน พออยู่ใต้แสงจันทร์แล้วกลับน่าขนลุก
ฉางหรงกระโดดผลุง มายืนคุ้มครองตรงหน้าลิ่นเซี่ยวโดยไม่คิด ก่อนจะหันไปตะคอกถามเด็กสาวผู้นั้น “เจ้าเป็นใครกัน!”