หลายวันมานี้ฉวีชิ่นเหยาก็ยุ่งจนมือเป็นระวิงกับเรื่องในบ้าน นับตั้งแต่วันที่นางให้พี่ชายกินลูกกลอนปราณของปีศาจงู พี่ชายก็มีไข้สูงกว่าหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็ม กว่าไข้จะลดลงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็มีตุ่มพุพองขึ้นทั่วร่างกายตามมาอีก นางร้อนใจดั่งไฟลน เร่งเดินทางข้ามคืนไปหาอาจารย์ที่อารามชิงอวิ๋น
ไม่คาดคิดว่าพออาจารย์ของนางทราบเรื่องแล้วจะไม่ประหลาดใจเลย บอกเพียงแค่ลูกกลอนปราณนั้นมาจากร่างของปีศาจงูพันปีจึงมีพิษร้ายแรงเป็นธรรมดา กระทั่งคนที่มีร่างกายแข็งแรงกินเข้าไปแล้วยังสลายพิษไปได้อย่างยากเย็น ไม่ต้องเอ่ยถึงพี่ชายของฉวีชิ่นเหยาที่มีร่างกายอ่อนแอปานนี้
เขาบอกให้ฉวีชิ่นเหยากลับบ้านแล้ววาดยันต์ขึ้นมาแผ่นหนึ่ง นำยันต์ไปละลายในสุราสยงหวง ให้พี่ชายของนางดื่ม แล้วพิษงูจะค่อยๆ สลายหายไปเอง
ฉวีชิ่นเหยากลับบ้านทำตามคำแนะนำของอาจารย์ หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยามตุ่มพุพองตามร่างกายพี่ชายก็ยุบหายไปหมด แล้วเขาก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ผ่านไปไม่กี่วันอาการไอก็หายเป็นปลิดทิ้ง ยิ่งไปกว่านั้นยังรู้สึกเจริญอาหารมากกว่าปกติหลายเท่า
พอได้เห็นฉวีจื่ออวี้แข็งแรงขึ้นทุกวัน สามีภรรยาสกุลฉวีและฉวีชิ่นเหยาก็ดีใจจนบรรยายไม่ถูก โดยเฉพาะสามีภรรยาสกุลฉวีที่ไม่เคยกระทำเรื่องชั่วร้ายใดมาก่อน กลับต้องมีทายาทที่ร่างกายอ่อนแอสองคน จึงรู้สึกว่าชีวิตช่างสิ้นหวังเสียเหลือเกินมาโดยตลอด ไม่เคยคิดว่าสิบกว่าปีต่อมาครอบครัวจะโชคดีเช่นนี้
ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณพลังตบะอันแก่กล้าของนักพรตชิงซวีจื่อ!
พอสามีภรรยาสกุลฉวีเฉลิมฉลองเรื่องน่ายินดีนี้แล้ว ก็ปรึกษาหารือกันว่าจะต้องขอบคุณนักพรตชิงซวีจื่ออย่างจริงใจสักครั้ง บังเอิญว่าวันนี้ฉวีชิ่นเหยาต้องเดินทางกลับอารามชิงอวิ๋นไปฝึกวิชาพอดี พวกเขาจึงนั่งรถม้าเดินทางไปด้วยกันกับฉวีชิ่นเหยา บนรถม้ามีของขวัญตอบแทนที่ตั้งใจเตรียมให้นักพรตชิงซวีจื่อมากมาย
ฉวีชิ่นเหยาเห็นบิดามารดากระตือรือร้นถึงเพียงนี้ก็ไม่อยากจะสาดน้ำเย็นเข้าใส่ ได้แต่คิดในใจ
ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านช่างไม่รู้อะไรเอาเสียเลย แทนที่จะมอบของขวัญพวกนี้ให้อาจารย์ ไม่สู้มอบเงินทองให้โดยตรง เพราะว่าตาเฒ่าอย่างเขาน่ะหลงใหลเงิน! เงิน! และเงิน! ที่สุดแล้ว
ในที่สุดคนในครอบครัวนี้ที่ต่างคนต่างมีความในใจก็เดินทางมาถึงอารามชิงอวิ๋น เพิ่งจะเดินลงจากรถม้าก็เห็นนักพรตชิงซวีจื่อพานักพรตคิ้วเข้มคนหนึ่งรีบร้อนเดินออกมา ดูท่าทางเหมือนมีเรื่องเร่งด่วนต้องไปจัดการ
ฉวีชิ่นเหยารีบก้าวออกไปเรียกพวกเขาไว้ “อาจารย์! ศิษย์พี่ใหญ่! พวกท่านจะไปที่ใดกัน”
นักพรตที่มีดวงตากลมโต คิ้วเข้มดกดำ หน้าตาดูใสซื่อไร้เดียงสาคนนี้ก็คืออาหานลูกศิษย์คนโตของนักพรตชิงซวีจื่อ เป็นเด็กทารกถูกทิ้งที่ท่านนักพรตเก็บได้จากกองหิมะ มาวันนี้เขาเติบโตเป็นชายหนุ่มร่างกายแข็งแรงบึกบึนอายุได้สิบเจ็ดสิบแปดปีแล้ว
เขามองเห็นฉวีชิ่นเหยาก็อ้าปากกว้าง เผยสีหน้าแช่มชื่นยินดี “อาเหยา เจ้ากลับมาแล้ว!”
นักพรตชิงซวีจื่อมองเห็นสามีภรรยาสกุลฉวีก็ร่ำร้องในใจว่าท่าจะไม่ดี รีบหันกลับไปทำท่าจะปิดปากอาหานเอาไว้ ใครจะคาดคิดว่าช้าไปก้าวหนึ่ง ได้ยินอาหานตะโกนเสียงดังขึ้นว่า “หอหมู่ตันมีผีร้ายอาละวาด เถ้าแก่เนี้ยมาเชิญอาจารย์ไปจับผี พวกเรากำลังจะไปเดี๋ยวนี้แล้ว”
สามีภรรยาสกุลฉวีได้ยินคำว่า ‘หอหมู่ตัน’ สามคำนี้ พวกเขารู้สึกตกตะลึง ตามด้วยนิ่งเงียบไปชั่วขณะ
ฉวีเอินเจ๋อคลุกคลีอยู่ในแวดวงขุนนางมาหลายปี ไหวพริบปฏิภาณอย่างไรก็มากกว่าทุกคนที่อยู่ในที่นี้ เขาหัวเราะแห้งๆ ออกมาพร้อมหันหน้ามองนักพรตชิงซวีจื่อ ซึ่งใบหน้าแก่ชรากลายเป็นสีแดงก่ำแล้วเอ่ยว่า “เหอะๆๆ คือว่า คือ…ดูท่าวันนี้พวกเราบังเอิญมาได้จังหวะพอดี ทันเวลาก่อนท่านนักพรตจะออกไปข้างนอก”
แม้ฉวีชิ่นเหยาจะไม่เคยได้ยินชื่อหอหมู่ตันมาก่อน แต่สังเกตอาการตอบสนองของบิดามารดากับอาจารย์แล้วก็คาดเดาได้ไม่ยากว่าจะต้องเป็นสถานที่จำพวกหอนางโลมโคมเขียวแน่ นางไม่รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย มีแต่จะมองอาจารย์ด้วยความแค้นใจที่ไม่อาจหลอมเหล็กเป็นเหล็กกล้า
‘ท่านอาจารย์หนอ ท่านอาจารย์ เพื่อเงินแล้วงานที่ใดก็กล้ารับทั้งนั้นจริงๆ ด้วย’
โปรดติดตามตอนต่อไป